สถานการณ์ต่างประเทศ

นางออง ซาน ซู จี ผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมา เตรียมแถลงแก้ต่างให้ประเทศด้วยตัวเองต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ที่กรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์ เรื่องที่เมียนมาถูกกล่าวหาว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา

    นางออง ซาน ซู จี รัฐมนตรีต่างประเทศและมนตรีแห่งรัฐ ในฐานะผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมาพร้อมคณะ เดินทางถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ที่กรุงเฮกแล้วในวันอังคาร เพื่อเตรียมเป็นตัวแทนรัฐบาลเมียนมาขึ้นให้การแก้ต่างต่อศาลในคดีที่แกมเบีย ประเทศในแอฟริกาตะวันตกเป็นผู้ยื่นฟ้องต่อศาลโลกว่า เมียนมาละเมิดอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปี 2491 เพราะพยายามกำจัดชาวโรฮีนจาในช่วงที่กองทัพปฏิบัติการในรัฐยะไข่เมื่อปี 2560 โดยมีทั้งกลุ่มสนับสนุนและกลุ่มประท้วงรอต้อนรับนางซู จี ที่หน้าศาลโลกเช่นเดียวกับชาวเมียนมาจำนวนมากที่เตรียมตัวชุมนุมในเมืองใหญ่ของเมียนมาตลอดหลายวันนี้ เพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่ของนางซู จีแม้ว่าชื่อเสียงเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพวัย 74 ปี จะมัวหมองจากการที่เธอนิ่งเฉยต่อชะตากรรมชาวโรฮีนจา อีกทั้งยังปกป้องนายทหารที่เคยกักบริเวณเธอในบ้านพักมานาน หนึ่งในประเทศที่จับตาการฟ้องร้องครั้งนี้คือบังกลาเทศ ที่ซึ่งชาวโรฮีนจาหนีข้ามพรมแดนเมียนมาเข้าไปอาศัยอยู่มากถึง 740,000 คน

    การไต่สวนเป็นเวลา 3 วันเริ่มตั้งแต่วันอังคาร จะเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของศาลโลกที่ตั้งขึ้นในปี 2489 แกมเบียซึ่งฟ้องร้องในนามองค์การความร่วมมืออิสลาม หรือโอไอซี 57 ประเทศ ขึ้นให้การในวันอังคาร ขอให้ศาลโลกมีมาตรการฉุกเฉินยับยั้งพฤติกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเมียนมาที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ คำร้องของแกมเบียระบุว่า พฤติกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างปฏิบัติการของกองทัพเมียนมามีเจตนาทำลายชาวโรฮีนจาทั้งหมดหรือบางส่วนด้วยการสังหารหมู่ ข่มขืน และการใช้ความรุนแรงทางเพศในรูปแบบอื่นๆ ส่วนนางซู จี จะขึ้นให้การในวันพุธ คาดว่าเธอจะแย้งว่าศาลโลกไม่มีอำนาจตุลาการในเรื่องนี้และปฏิบัติการของกองทัพเมียนมามุ่งเป้าหมายที่กลุ่มติดอาวุธ

ด้านนักวิเคราะห์มองว่า นางซู จี อาจได้เปรียบจากข้อเท็จจริงที่ว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องที่พิสูจน์ทางกฎหมายได้ยาก ที่ผ่านมาศาลโลกเคยตัดสินว่ามีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพียงครั้งเดียว คือ เหตุสังหารหมู่ที่เมืองซเรเบรนิซา ในบอสเนียปี 2538