
“พลังงานสะอาด” ยังเป็นเทรนด์โลกอยู่ไหม?
17 กันยายน 2568 08:09 น.
กรมอุตุฯ เตือน ไทยฝนเพิ่มขึ้น กทม.ตกหนัก 80% 18 ก.ย. 68 08:09 น.
17 กันยายน 2568 08:09 น.
17 กันยายน 2568 08:09 น.
17 กันยายน 2568 09:09 น.
17 กันยายน 2568 09:09 น.
นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางออกจากเกาหลีใต้ ว่าการหารือรอบใหม่ระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือน่าจะเกิดขึ้นในราวเดือนกรกฎาคมนี้ โดยการหารือดังกล่าวจะเป็นการหารือในระดับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ
ทั้งนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในฐานะประธานาธิบดีที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ของสหรัฐคนแรก ที่ได้ข้ามเข้าไปยังดินแดนของเกาหลีเหนือ ในการพบปะกับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือครั้งที่ 3 ที่มีขึ้นในเขตปลอดทหารซึ่งกั้นระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา
ขณะที่สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ(เคซีเอ็นเอ) ได้เผยแพร่ภาพเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่านายรี ยอง โฮ รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ กับนายปอมไปโอได้นั่งอยู่เคียงข้างผู้นำคิมและประธานาธิบดีทรัมป์ในฟรีดอมเฮ้าส์ อาคารซึ่งผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐได้นั่งหารือกันสองต่อสอง
เคซีเอ็นเอรายงานด้วยว่าในระหว่างการหารือผู้นำคิมและทรัมป์ได้พูดเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่จะช่วยลดความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี ประเด็นที่อยู่ในความห่วงกังวลและประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ซึ่งผู้นำทั้งสองมีความสนใจร่วมกันที่เคยเป็นอุปสรรคเพื่อหาทางแก้ไขประเด็นเหล่านี้ต่อไป การหารือของผู้นำทั้งคู่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจและความเห็นใจซึ่งกันและกัน
นายคิม จอง อึน กล่าวด้วยว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่เขามีกับทรัมป์ทำให้การพบปะกันเช่นนี้เกิดขึ้นได้แม้จะมีการแจ้งล่วงหน้าเพียงหนึ่งวันก็ตาม และว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับทรัมป์ก็จะช่วยทำให้เกิดผลดีต่อไปในอนาคต
เคซีเอ็นเอระบุด้วยว่า ด้วยการตัดสินใจอันกล้าหาญของผู้นำทั้งสองส่งผลให้เกิดการหารือครั้งประวัติศาสตร์ที่สร้างความไว้วางใจแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนระหว่างสองประเทศ ซึ่งเคยตกอยู่ท่ามกลางความเป็นปรปักษ์ระหว่างกันอย่างลึกซึ้งยาวนาน
ด้านนายแอนโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติออกมาแสดงความยินดีต่อการพบปะกันของผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ พร้อมทั้งประกาศว่าสหประชาชาติยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความพยายามที่จะมีขึ้นของทุกฝ่าย ในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ใหม่ซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืน รวมถึงการปลดอาวุธนิวเคลียร์แบบที่สามารถตรวจสอบได้บนคาบสมุทรเกาหลีต่อไป