SMART NEWS

ระทึก ไฟไหม้ที่ประชุม COP30 ต้องอพยพผู้คน การเจรจาหยุดชะงัก 21 พ.ย. 68 10:11 น.

สถานการณ์ในประเทศ

พาณิชย์ปรับกลยุทธ์การค้าหลังสงครามการค้าส่อเค้ายืดเยื้อ

views

     กระทรวงพาณิชย์เร่งหาแนวทางปรับกลยุทธ์การค้า หลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน มีแนวโน้มยืดเยื้อ ประเมินผลกระทบต่อไทย หากสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจากจีนอีก จะส่งผลบวกต่อสินค้าไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าบริโภค

      น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวถึงปัญหาสงครามการค้าสหรัฐ-จีนว่า มาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีนของสหรัฐฯ กลุ่มสินค้า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและการตอบโต้ของจีน ในกลุ่มสินค้า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น เป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2561 แต่สหรัฐปรับอัตราภาษีจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 และจีนปรับอัตราภาษีเป็นร้อยละ 5 – 25 และตัดสินค้าจำนวน 67 รายการ (ส่วนใหญ่คืออุปกรณ์รถยนต์ เช่น เบรค ล้อรถ คลัช เพลา/แกนรถ ถุงลมนิรภัย) สินค้ากลุ่มนี้มีนัยยะสำคัญและส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการส่งออกไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย

      อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่ามาตรการระหว่างกันล่าสุดในสินค้ากลุ่มนี้ จะไม่ส่งผลกระทบเพิ่มขึ้นมากนักเนื่องจากเป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว และผู้ประกอบการเริ่มปรับตัว โดยเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่ตัวเลขการส่งออกเดือนเมษายนมีแนวโน้มหดตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยคาดว่าผู้ประกอบการเริ่มมีการปรับกลยุทธ์ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และมาผลิตในประเทศที่สาม (นอกประเทศจีน) มากขึ้น เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และเมื่อพิจารณาสินค้าในกลุ่มที่ขึ้นภาษีของสหรัฐและจีน พบว่าไทยยังมีโอกาสส่งออกสินค้าเพื่อชดเชยผลกระทบจากการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน โดยสินค้ากลุ่มที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออก ได้แก่ ผักและผลไม้สดและแปรรูป เครื่องดื่ม ไก่สดแช่แข็ง อาหารปรุงแต่ง เสื้อผ้าและรองเท้า เครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์ยาง

      สำหรับสินค้าล็อตใหม่ที่สหรัฐเตรียมขึ้นภาษีจีนมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า เป็นสินค้าส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดที่สหรัฐนำเข้าจากจีน โดยส่วนใหญ่ครอบคลุมสินค้าอุปโภคและบริโภค อาทิ อาหาร อุปกรณ์/เครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้าและรองเท้า เครื่องประดับ ซึ่งหากสหรัฐเดินหน้าขึ้นภาษีจริง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค และประเมินว่าในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค ผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานจีนจะมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับมาตรการที่ผ่านมา และไทยมีโอกาสที่จะส่งออกเพิ่มในตลาดสหรัฐกว่า 725 รายการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 200 – 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดและความสามารถทางการแข่งขันในรายสินค้า (RCA) สูง ประกอบกับภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าไทยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค อาทิ อาหารและเครื่องปรุงอาหาร (เครื่องเทศ น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะพร้าว พีนัท ถั่ว Pignolia น้ำตาลอ้อย) น้ำผลไม้ ขิง ชาเขียว เสื้อผ้าและผ้าผืน รองเท้า อุปกรณ์กีฬา เครื่องประดับ (ไข่มุกและนาฬิกา) และของใช้ในบ้าน (เครื่องเซรามิค เครื่องแก้ว)

      นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้ติดตามสถานการณ์การนำเข้าอย่างใกล้ชิดในกลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ฯ อะลูมิเนียม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ เครื่องจักรไฟฟ้าฯ ทองแดง และเคมีภัณฑ์ เพื่อป้องกันการสินค้าไหลเข้ามาไทยเป็นจำนวนมากจากมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐและจีนที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศและผู้บริโภค ซึ่งยังไม่พบการนำเข้าที่ผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา

      ทั้งนี้ วันที่ 29 พฤษภาคมนี้ จะมีการประชุมกับตัวแทนอุตสาหกรรมกว่า 20 สมาคม/กลุ่ม เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ และการปรับกลยุทธ์ผลักดันการส่งออกสินค้าศักยภาพข้างต้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้จะนำผลหารือจากการประชุมเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ในวันที่ 11 มิถุนายนนี้เพื่อกำหนดแนวทางการรับมือในเรื่องสงครามการค้า และกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์การค้าระยะยาวที่จะต้องพิจารณาระบบการค้าและการลงทุนทั้งระบบให้สอดคล้องกับบริบทใหม่ของการค้าโดยเน้นผลักดันและกระตุ้นการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน และผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ต่อไป

TW-headbar