ไทยตอนบนเย็นลง แต่ยังคงมีฝน ภาคใต้มีฝน 70-80%
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
ระทึก ไฟไหม้ที่ประชุม COP30 ต้องอพยพผู้คน การเจรจาหยุดชะงัก 21 พ.ย. 68 10:11 น.
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
18 พฤศจิกายน 2568 13:11 น.
18 พฤศจิกายน 2568 13:11 น.
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาประจำปีเป็นครั้งที่ 31 ของสมาคมเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นการรวบรวมนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ มาร่วมงานสัมมนาเป็นจำนวนมาก ในหัวข้อ "ยุคปฏิวัติข้อมูลและเทคโนโลยี กับก้าวต่อไปของประเทศไทย" ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเฝ้าระวังจากบรรยากาศเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีทิศทางรุนแรงขึ้น แม้ว่าตัวเลขมูลค่าการส่งออกตลาดเอเชีย อาจจะไม่ได้ลดลงมาก เนื่องจากมีการสั่งซื้อสินค้ามาเเล้วล่วงหน้า แต่ผลกระทบจะเห็นอย่างชัดเจนต้นปี 2562 ซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยมีทั้งผลบวกและผลลบ เพราะเมื่อสหรัฐอเมริกาตั้งกำแพงภาษีสินค้าสูงขึ้น ผลลบจะเกิดขึ้นกับสินค้าจีน เช่น เหล็ก อลูมิเนียม จะส่งไปขายที่สหรัฐไม่ได้ จำเป็นต้องหาตลาดใหม่ด้วยการกระจายแหล่งผลิตไปประเทศอื่น ซึ่งอาจจะเป็นผลดีต่อไทย โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ส่วนภาคตลาดเงินตลาดทุน ผู้ประกอบการจะต้องมีการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนการทำธุรกิจให้ดี เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกที่เติบโตนั้นมาจากการก่อหนี้ที่สูง ทั้งภาครัฐและเอกชน และตอนนี้ธนาคารกลางประเทศหลัก เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น ได้เริ่มส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบปกติแล้ว ส่งผลให้ดอกเบี้ยโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น จึงต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังคงเข้มแข็ง มีกันชนที่ดี ทุนสำรองระหว่างประเทศสูง การก่อหนี้ต่างประเทศต่ำ ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่ยังไม่ปรับดอกเบี้ยนโยบาย ด้านนายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตรชัย ผู้ช่วยกรรมการการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าสหรัฐอเมริกาส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องขึ้นอย่างชัดเจนใกล้ร้อยละ 3 จากปัจจุบันร้อยละ 2.25 โดยคาดว่าจะปรับขึ้น 3 - 4 ครั้ง ภายใน 12 เดือน ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ มีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ว่าจะมีการเจรจาเพื่อหาข้อยุติหรือไม่ ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวได้ส่งผลกระทบบริษัทใหญ่ ๆ ที่กำลังจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิตอย่างแน่นอน ส่วนเศรษฐกิจไทยที่เติบโตชะลอลงในไตรมาส 3 ที่ร้อยละ 3.3 เป็นผลมาจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เติบโตชะลอลง จึงมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจจะเติบโตได้ที่ร้อยละ 4 เล็กน้อย สวนทางกับที่ธนาคารโลกประเมินไว้ว่าไทยจะโตได้ร้อยละ 4.5