ไทยตอนบนเย็นลง แต่ยังคงมีฝน ภาคใต้มีฝน 70-80%
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
ระทึก ไฟไหม้ที่ประชุม COP30 ต้องอพยพผู้คน การเจรจาหยุดชะงัก 21 พ.ย. 68 10:11 น.
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
18 พฤศจิกายน 2568 13:11 น.
18 พฤศจิกายน 2568 13:11 น.
ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาคดีแบ่งแยกดินแดนที่พนักงานอัยการสำนักงาน คดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายตาลมีซี หรือซี โตะตาหยง, นายอับดุลบาซิร หรือ บาซิร ลือกะจิก, นายมูบารีห์ หรือบาริ กะนา, นายอุสมาน หรือมาย กาเด็งหะยี, นายมีซี หรือ ยี เจ๊ะหา, นายปฐมพร หรือดาวุด มิหิแอ, นายอัมรัม หรือยัง มะยี, นายวิรัติ หรือ กามาน หะมิ, นายนิเฮง หรือเฮง ยีนิง, นายอัมรีย์ หะ, นายนรมัน อาบู, นายมุฟตาอิน สาและ, นายด่วนฮาฟิต ดือมุงกาป๊ะ,นายมูฮัมหมัด ซาการียา ตามุง ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-14 ในความผิดฐานเป็นอั้งยี่, ซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209, 210 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4, 55 และ 78 โดยอัยการโจทก์ ฟ้องพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ช่วงกลางปี 2553 - 10 ต.ค.2559 พวกจำเลยร่วมกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร โดยเข้าร่วมเป็นสมาชิก ขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี เพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยปกปิดวิธีดำเนินการและมีความ มุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบเพื่อแบ่งแยกดินแดน จังหวัดชายแดนใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และบางอำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่อตั้งเป็นประเทศหรือรัฐใหม่ มีอำนาจอธิปไตยของตนเองโดยใช้ชื่อ "รัฐปัตตานี หรือปัตตานีดารุสสลาม" มีการประชุม วางแผน ขยายพื้นที่ในการ ก่อการร้ายเข้ามาในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล สมคบเป็นซ่องโจรเพื่อจะกระทำการแบ่งแยกราชอาณาจักร ก่อการร้ายในกรุงเทพฯ และจังหวัดสมุทรปราการ ก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน ร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดฆ่าพนักงานเจ้าหน้าที่ และประชาชนทั่วไปให้ได้รับ บาดเจ็บสาหัสเป็นอันตรายแก่กาย และถึงแก่ความตาย รวมถึงทรัพย์สินเสียหาย เหตุเกิดที่ตำบลใดไม่ปรากฏชัด อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส, ตำบล และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ, แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ เกี่ยวพันกัน ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความยืนยัน เนื่องจากการทำงานกลุ่มขบวนการลักษณะนี้ มักจะปกปิดข้อมูลการติดต่อระหว่างกัน แต่จากการตรวจสอบผลสารประกอบวัตถุระเบิดที่พบที่มือของ นายมูบารีห์ หรือบาริ กะนา จำเลยที่ 3 ประกอบกับคำเบิกความของ พ.ต.อ.กำธร อุ๋ยเจริญ ผู้กำกับการกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรือ EOD เบิกความยืนยันรับฟังได้ว่า สารประกอบวัตถุระเบิดดังกล่าวไม่สามารถพบได้โดยทั่วไป แม้การเดินผ่าน ก็ไม่ทำให้สารติดตัวได้ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3 ครอบครองสารประกอบวัตถุระเบิดจริง โดยหลังถูกจับกุมจำเลยที่ 1- 4, 9 - 13 ยังนำชี้สถานที่พักย่าน ซ.รามคำแหง 49 และซ. 53/1 และห้องพักที่พวกจำเลยได้ไปเช่าใน อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ แม้จำเลยจะต่อสู้อ้างว่าในชั้นสอบสวนถูกพนักงานสอบสวนข่มขู่บังคับให้สารภาพ แต่ไม่ปรากฏร่องรอยการถูกทำร้าย และไม่มีการร้องเรียนกล่าวโทษพนักงานสอบสวน จึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1- 4, 9 - 13 เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษทุกความผิด ฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่จำคุก คนละ 3 ปี ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร รวมจำคุกคนละ 6 ปี นอกจากนี้จำเลยที่ 3 ยังมีความผิดฐาน ทำ ประกอบ ซ่อมแซม มี ใช้ ซึ่งระเบิด ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4,55 และ 78 ให้จำคุก เพิ่มอีก 3 ปี ศาลจึงจำคุกเบื้องต้น จำเลยที่ 1, 2, 4, 9 - 13 คนละ 6 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 จำคุก 9 ปี ทางนำสืบจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1, 2, 4, 9 - 13 คนละ 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 จำคุกรวม 6 ปี พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 5 - 8 และ 14 เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะลงโทษได้