สถานการณ์ในประเทศ

นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ฝนที่ตกชุกในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ทำให้มีน้ำไหลลงมาสู่แม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้นที่ จ.นครสวรรค์ ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา มีแนวโน้มน้ำเพิ่มขึ้น โดยสถานี C 2 ที่ อ.เมืองนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านเพิ่มขึ้น เป็น 1,175 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เมื่อน้ำไหลมายังสู่เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท จึงสั่งการ ให้สำนักชลประทานที่ 12 บริหารจัดการน้ำบริเวณเหนือเขื่อน ด้วยการรับน้ำเข้าคลอง ในระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง รวมประมาณ 550 ลูกบาศก์เมตร/วินาที และควบคุมน้ำ ให้ไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไม่เกิน 820 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ขณะนี้มีพื้นที่ได้รับผลกระทบที่บริเวณที่ลุ่มต่ำริมตลิ่งคลองบางบาล และคลองโผงเผง บริเวณ ต.หัวเวียง ต.บ้านกระทุ่ม อ.เสนา / ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำสูงขึ้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร ซึ่งการควบคุมอัตราการระบายดังกล่าว จะทำให้ระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำทรงตัว ทั้งนี้ กรมชลประทานเตรียมเร่งระบายน้ำในแม่น้ำท่าจีน ช่วง จ.นครปฐม โดยติดตั้ง เครื่องผลักดันน้ำแล้ว 14 เครื่อง และกำลังเร่งติดตั้งอีก 39 เครื่อง ซึ่งจะแล้วเสร็จภายใน 1-2 วันนี้ จากนั้นจะติดตั้งในแม่น้ำท่าจีนเป็นระยะๆ รวมทั้งหมด 81 เครื่อง เพื่อช่วยให้ การไหลของน้ำในแม่น้ำท่าจีนดีขึ้น และเร่งระบายออกทะเลที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งจะเป็น การช่วยลดการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอีกทางหนึ่งด้วย อีกทั้งศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะจะประชุมร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. เพื่อปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล จ.ตาก และเขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เพื่อลดปริมาณน้ำเหนือที่จะไหลลงมาเติมแม่น้ำเจ้าพระยา อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวด้วยว่า จากการคาดการณ์ฝน 3 วันล่วงหน้าของกรมอุตุนิยม วิทยา พบว่าทั่วประเทศจะมีปริมาณฝนตกน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้น้ำท่าที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดกลางมีปริมาณน้อยลงตามไปด้วย ทั้งนี้ กรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ำ ในอ่างขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าร้อยละ 30 ของความจุอ่างอย่างรัดกุมและ เคร่งครัด ด้วยการระบายน้ำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำ ในฤดูแล้ง