สถานการณ์ต่างประเทศ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ 25,162.41 จุด ลดลง 137.51 จุด หรือ -0.54% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,818.37 จุด ลดลง 21.59 จุด หรือ -0.76% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,774.12 จุด ลดลง 96.78 จุด หรือ -1.23% ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการร่วงลงของค่าเงินตุรกีและผลกระทบที่จะลุกลามไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและตุรกี หลังจากประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ของตุรกี สั่งปรับขึ้นภาษีรถยนต์จากสหรัฐเป็น 120% และขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็น 140% บุหรี่ขึ้นเป็น 60% พร้อมปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องสำอาง ข้าว และถ่านหิน จากสหรัฐด้วย เพื่อตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ สั่งเพิ่มอัตราภาษีเหล็กและอลูมิเนียมนำเข้าจากตุรกีขึ้นอีกสองเท่า โดยอัตราภาษีเหล็กนำเข้าจากตุรกีจะอยู่ที่ 50% และอลูมิเนียม 20% หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงอย่างหนักถึง 3% โดยหุ้นเชฟรอน ร่วงลง 3.8% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดิ่งลง 3.4% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลง 1.7% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลง 4.5% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ลดลง 2.4% ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ยังฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.2% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ลง 2.1% หุ้นอีตัน คอร์ป ลง 0.6% และหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 0.5% ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง หลังบริษัทเทนเซนต์ โฮลดิ้งส์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีน เจ้าของวีแชต เปิดเผยว่า กำไรและรายได้ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2 โดยได้รับผลกระทบจากการที่เจ้าหน้าที่จีนเพิ่มการกำกับดูแลธุรกิจเกมส์ออนไลน์