สถานการณ์ในประเทศ

กรณีตำรวจกองปราบปราม บุกรวบตัวนักแสดงวัยรุ่น "บูม-จิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน หลังถูกผู้เสียหายชาวต่างชาติแจ้งความเอาผิดในคดีหลอกลวงให้ลงทุน สกุลเงินดิจิทัล หรือบิตคอยน์ มูลค่าเสียหายเกือบ 800 ล้านบาท โดยได้ออกหมายจับ นายปริญญา จารวิจิต และ น.ส.สุพิชย์ฌา จารวิจิต พี่ชายและพี่สาวนายบูม ในข้อหา เดียวกันนั้น รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวนอยู่ระหว่างขยายผลทางคดีเพื่อหา ความเชื่อมโยงของกลุ่มขบวนการโกงบิตคอยน์ หลังพบเส้นทางการเงินกับกลุ่มบุคคล หลายรายทั้งคนในครอบครัวของนายบูม และผู้กว้างขวางในวงการตลาดหุ้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างการประสานข้อมูลเส้นทางการเงิน และสำนักงานป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน หรือ ปปง. เพื่อตรวจสอบว่ามีการยักย้ายถ่ายเทไปที่กลุ่มบุคคลใดบ้าง หากพบความเชื่อมโยงก็จะต้องเชิญตัวมาสอบปากคำตามขั้นตอน ทั้งนี้ ในการดำเนินการ ชุดสืบสวนสอบสวนได้แบ่งออกเป็นสองความผิด ส่วนแรก อยู่ระหว่างการตรวจสอบพฤติการณ์ทางคดีในการหลอกลวงผู้เสียหายให้ได้มา ด้วยทรัพย์ ซึ่งส่วนนี้จะต้องดำเนินการในฐานควาผิด"ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์" และ อีกส่วนคือตรวจสอบในข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานและเส้นทางการเงินว่าไปปรากฏ หรือยักย้ายถ่ายเท หรือนำไปเล่นแร่แปรธาตุเป็นทรัพย์สินอื่นใด หรือโอนทรัพย์ไปที่ กลุ่มบุคคลใด ซึ่งส่วนนี้จะเข้าข่ายฐานความผิด"ร่วมกันฟอกเงิน" รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ก่อนหน้านี้ ชุดสืบสวนได้เข้าค้นบ้านของกลุ่มผู้ต้องหา รวมทั้ง บ้านของนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ บุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้นำเอกสาร มาตรวจสอบ โดยอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ขณะนี้ชุดสืบสวนพบพฤติกรรม ของขบวนการนี้ว่าได้มีการเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มา โดยนายปริญญา พี่ชายนายบูม และนายบูม นำเงินที่ได้จากการหลอกผู้เสียหาย ไปจดทะเบียนซื้อฝาก-ขายที่ดินรวม 14 แปลง มูลค่ากว่า 176,220,000 บาท ในหลายพื้นที่ ทั้งใน กทม. นนทบุรี และชลบุรี เป็นต้น สำหรับการติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือ ชุดสืบสวนกองปราบปรามอยู่ระหว่าง การติดตามตัว น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต พี่สาวนายบูม หลังพบพบรถยนต์จอดทิ้งไว้ ที่แฟลตทหารย่านดินแดง ซึ่งล่าสุดแนวทางการสืบสวนพบว่า น.ส.สุพิชฌาย์ ได้ขอให้นายทหารยศ"พันเอก" ให้ความคุ้มครองและให้ช่วยเจรจากับตำรวจ กองปราบปราม เพื่อขอประกันตัวในชั้นสอบสวน หากมีการมอบตัว ส่วนนายปริญญา พี่ชายนายบูม ตรวจสอบพบว่าหลบหนีออกนอกประเทศไปยัง ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ในช่วงเวลาที่ศาลกำลังจะออกหมายจับ ซึ่งพนักงาน สอบสวนกองปราบปรามอยู่ระหว่างการประสานงานกับสหรัฐอเมริกาในการเร่ง ติดตามจับกุมผู้ต้องหารายนี้ต่อไป