สถานการณ์ในประเทศ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,333.82 จุด ลดลง 81.37 จุด หรือ 0.32% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,813.36 จุด ลดลง 2.93 จุด หรือ 0.10% และดัชนีแนสแดก ปิดที่ 7,707.29 จุด เพิ่มขึ้น 35.50 จุด หรือ 0.46% หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 1.75-2.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ โดยแถลงการณ์หลังการประชุมของเฟด ระบุถึงภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน ที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม เดือนก.ย. ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับ สงครามการค้าระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 3.7% หุ้น 3M ปรับตัวลง 2.5% หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส เมื่อคืน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.4% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.8% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ลดลง 0.8% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 5.5% แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 5.9% หลังบริษัทเปิดเผย ผลประกอบการช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 3 ตามปีงบการเงินของบริษัท มีรายได้เพิ่มขึ้น 17% อยู่ที่ 5.33 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ ระดับ 5.23 หมื่นล้านดอลลาร์ หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภท อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นทะลุระดับ 3% เมื่อคืน ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้ โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 1.2% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ต่างก็ดีดตัวขึ้น 0.6%