ไทยตอนบนเย็นลง แต่ยังคงมีฝน ภาคใต้มีฝน 70-80%
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
ระทึก ไฟไหม้ที่ประชุม COP30 ต้องอพยพผู้คน การเจรจาหยุดชะงัก 21 พ.ย. 68 10:11 น.
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
18 พฤศจิกายน 2568 13:11 น.
18 พฤศจิกายน 2568 13:11 น.
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน (ครั้งที่ 3)" สำรวจระหว่างวันที่ 17-19 ก.ค. จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวม 1,257 หน่วยตัวอย่าง พบว่า พรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้เข้ามาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.87 ระบุ พรรคการเมืองพรรคใหม่ๆ เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง มีคนใหม่ๆ นโยบายใหม่ๆ แนวคิดแนวทางการบริหารใหม่ๆ และบางส่วน ระบุว่าเบื่อการบริหารงานของพรรคการเมืองพรรคเก่า ขณะที่ร้อยละ 32.78 พรรคเก่า เพราะมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ เข้าใจ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่องกว่าพรรคใหม่ และร้อยละ 8.35 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ส่วนบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน 10 อันดับ แต่เลือกมา 5 อันดับ ประกอบด้วย อันดับ 1 ร้อยละ 31.26 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) อันดับ 2 ร้อยละ 14.96 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 3 ร้อยละ 10.50 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) อันดับ 4 ร้อยละ 7.80 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส (หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย) อันดับ 5 ร้อยละ 7.48 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (พรรคอนาคตใหม่) พรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล 5 อันดับแรก อันดับ 1 ร้อยละ 31.19 พรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 21.88 พรรคพลังประชารัฐ อันดับ 3 ร้อยละ 16.47 พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 4 ร้อยละ 9.63 พรรคอนาคตใหม่ และอันดับ 5 ร้อยละ 2.07 พรรคเสรีรวมไทย สำหรับปัญหาที่อยากให้นายกรัฐมนตรีคนต่อไปเข้ามาแก้ไขมากที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 37.39 ระบุ ปัญหาปากท้องและหนี้สินของประชาชน รองลงมา ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ การทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ ผู้มีอิทธิพล การควบคุมราคาสินค้า ยาเสพติด อาชญากรรม มิจฉาชีพ เมื่อถามถึงความเชื่อมั่น ว่าจะมีการเลือกตั้ง ภายในเดือน ก.พ.ปีหน้า โดยไม่มีการเลื่อนออกไปอีก ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.94 ระบุไม่เชื่อมั่น เพราะยังไม่มีความพร้อม สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเลื่อนการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้ง ขณะที่ร้อยละ 38.82 เชื่อมั่น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เป็นไปตามโรดแมปที่รัฐบาลวางไว้