สถานการณ์ในประเทศ

ความคืบหน้าคดีคนร้ายก่อเหตุงัดตู้เซฟ ในบ้านที่ปรึกษาธุรกิจบริษัทใหญ่ ชาวสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ ในซอยโยธินพัฒนา แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.เมื่อ 25 พฤษภาคม เวลาเที่ยงคืนครึ่ง ได้ทรัพย์สินเป็นนาฬิกาโรเล็กซ์ 28 เรือน และทองคำ 2 กิโลกรัม มูลค่ารวมกว่า 12 ล้านบาท พลตำรวจตรีนิตินันท์ เพชรบรม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ตำรวจสอบปากคำคนขับรถแท็กซี่ที่พาผู้ต้องสงสัยไปส่งที่บ้านหลังดังกล่าว ทราบว่าผู้ต้องสงสัย 2 คนเรียกแท็กซี่จากบริเวณวัดเทพลีลา และได้ยื่นโทรศัพท์ให้คนขับแท็กซี่คุยกับคนปลายสายโทรศัพท์เพื่อแจ้งว่าจะไปที่ไหน และทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ในรถแท็กซี่ เพื่อจะโทรให้ไปรับหลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้กลับไปส่งที่ย่านทาวน์อินทาวน์ โดยคนขับรถแท็กซี่ตั้งข้อสังเกตเสียงปลายสายคล้ายชาวจีนที่สามารถพูดไทยได้ เมื่อตำรวจย้อนเส้นทางผู้ต้องสงสัยกลับไปจุดที่คนขับแท็กซี่รับขึ้นรถ พบผู้ต้องสงสัยเข้าพักที่โรงแรมใกล้ ๆ ตรวจสอบชื่อผู้เข้าพักพบเป็นชาวเอเชีย ยังไม่ทราบสัญชาติแน่ชัด หนึ่งในผู้ต้องสงสัยเดินทางออกนอกประเทศไปแล้วในคืนวันเดียวกันหลังก่อเหตุ ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และการท่าอากาศยาน เพื่อดูว่าขณะที่ผ่านเครื่อง เอ็กซเรย์ ก่อนออกนอกประเทศ พกทรัพย์สินที่ขโมยไปติดตัวออกไปหรือไม่ รวมถึงประสานกับประเทศปลายทางที่เครื่องบินไปลง เพื่อขอตรวจสอบประวัติ ว่ามีหมายจับหรือเคยก่อเหตุในประเทศดังกล่าวหรือไม่ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ต้องสงสัยอีกคน ที่ตำรวจเชื่อว่ายังอยู่ในประเทศนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานให้คนขับรถแท็กซี่ยืนยันตัวบุคคลจากรูปภาพ ส่วนผู้บงการ อยู่ระหว่างตรวจสอบพิกัดของหมายเลขโทรศัพท์ต้นทางที่โทรมา ด้านพลตำรวจโทชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่า ขณะนี้ทราบตัวคนร้ายที่ก่อเหตุลักทรัพย์รายนี้แล้ว อยู่ระหว่างให้พนักงานสอบสวนขอศาลออกหมายจับ โดยเป็นการขอหมายจับ ระบุชื่อตัวบุคคล 1 ราย และตามภาพจากวงจรปิดอีก 1 ราย จากข้อมูลยังพบว่า หลังก่อเหตุ คนร้ายทั้งสองเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนขึ้นเครื่องไปต่างประเทศ เชื่อว่าปลายทางคือจีน ยืนยันไม่หนักใจที่คนร้ายหนีไปต่างประเทศ มั่นใจว่าจะสามารถนำตัวมาดำเนินคดีได้ ในส่วนคนขับรถแท็กซี่ เบื้องต้น ตำรวจกันไว้เป็นพยาน เนื่องจากเป็นผู้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และอยู่ระหว่างขยายผลว่ายังมีคนร้ายร่วมก่อเหตุมากกว่า 2 คนหรือไม่