
อุตุฯ เตือน ช่วง 15-16 ก.ย.นี้ หลายพื้นที่ รวมกทม. ฝนตกหนัก 70%
15 กันยายน 2568 10:09 น.
ราคาน้ำมันดิบ (15 ก.ย.) ปรับเพิ่ม เหตุตลาดกังวลอุปทานน้ำมันรัสเซียปรับลด 15 ก.ย. 68 11:09 น.
15 กันยายน 2568 10:09 น.
12 กันยายน 2568 13:09 น.
12 กันยายน 2568 12:09 น.
12 กันยายน 2568 12:09 น.
หลังผู้นำสองเกาหลี พบหารือกันเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 เดือน ประธานาธิบดีมุน แจ-อิน แถลงในวันอาทิตย์ ถึงผลการหารือกับ นายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ที่อาคารทงกิลกัก ในเขตหมู่บ้านปันมุนจอม บนเขตปลอดทหารฝั่งเกาหลีเหนือ วานนี้ว่า นายคิม จอง-อึน ยังยืนยันความมุ่งมั่นในการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี ตามแนวทางของปฏิญญาปันมุนจอม ที่ลงนามร่วมกันเมื่อปลายเดือนที่แล้ว และแสดงความจริงใจในการยุติสงครามและการเผชิญหน้า ผ่านการประชุมสุดยอดเกาหลีเหนือ-สหรัฐ ซึ่งต้องเกิดขึ้นตามกำหนดการเดิม คือ วันที่ 12 มิ.ย.นี้ ที่ประเทศสิงคโปร์ ด้านสำนักข่าวกลางเกาหลี (เคซีเอ็นเอ) รายงาน ผู้นำสองเกาหลีเห็นพ้องจัดการพบหารือร่วมกันให้บ่อยครั้งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความราบรื่น ของกระบวนการสร้างสันติภาพและปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี นอกจากนี้ จะมีการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศอีกครั้ง ในวันศุกร์ที่ 1 มิ.ย.นี้ด้วย การพบหารือกันอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างผู้นำสองเกาหลีครั้งนี้ เป็นไปตามคำเชิญของ นายคิม จอง-อึน และสร้างประวัติศาสตร์ให้ นายมุน แจ-อิน เป็นประธานานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรก ที่ข้ามพรมแดนไปยังเกาหลีเหนือแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้น เมื่อ 27 เม.ย. ซึ่งเป็นการพบปะกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 11 ปี ระหว่างผู้นำสองเกาหลี ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า การพบกันระหว่างเขากับผู้นำเกาหลีเหนือ อาจไม่เป็นไปตามกำหนดการเดิม เหตุเพราะพฤติกรรมก้าวร้าวของรัฐบาลเกาหลีเหนือในระยะนี้ แต่กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือตอบกลับจดหมายของทรัมป์ว่า ยังพร้อมเสมอที่จะพบหารือกับผู้นำสหรัฐ ต่อมา ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ ส่งทีมงานเดินทางไปยังสิงคโปร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เพิ่มความเป็นไปได้ว่า "สิงคโปร์ซัมมิต" จะเกิดขึ้นตามกำหนดการเดิม ผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์ สถานการณ์ที่พลิกผันไป-มา สะท้อนให้ทุกฝ่ายประจักษ์อย่างชัดเจนว่า การจัดการสถานการณ์ระหว่างประเทศโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งของทรัมป์ อันตรายมากแค่ไหน