สถานการณ์ต่างประเทศ

ผลการเลือกตั้งแห่งชาติมาเลเซียครั้งที่ 14 ซึ่งเป็นการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 222 ที่นั่ง และสมาชิกสภาแห่งรัฐ 505 ที่นั่ง จากคูหาเลือกตั้ง 8,253 หน่วยทั่วประเทศ ปรากฏว่า แนวร่วมฝ่ายค้าน ปากาตัน ฮาราฟัน (พีเอช) หรือพันธมิตรแห่งความหวัง ที่นำโดย ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี วัย 92 ปี คว้าที่นั่งได้ 115 ที่นั่ง ตามด้วยพรรคร่วมรัฐบาล 13 พรรค ในนามแนวร่วมแห่งชาติ (บีเอ็น) ที่มีพรรคมลายูสามัคคีแห่งชาติ (อัมโน) ของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค เป็นแกนหลัก ได้เพียง 79 ที่นั่ง และตามด้วย พรรคอิสลามมาเลเซีย (พีเอเอส) ส่งผลให้ ดร.มหาเธร์ ทวงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้สำเร็จ และยังถือว่าสร้างประวัติศาสตร์คว้าชัยการเลือกตั้งปิดฉากอำนาจแนวร่วมแห่งชาติภายใต้การนำของพรรคอัมโนที่ครองอำนาจยาวนานกว่า 60 ปี การเลือกตั้งแห่งชาติครั้งนี้ มีชาวมาเลเซียออกไปใช้สิทธิลงคะแนนประมาณ 76 % น้อยกว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่แล้วในปี 2556 ซึ่งมีประชาชนออกไปหย่อนบัตรลงคะแนนสูงถึง 85 % และก่อนถึงวันเลือกตั้งพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่า ฝ่ายรัฐบาลเอาเปรียบด้วยการกำหนดเขตเลือกตั้งใหม่หลายเขต และกำหนดวันเลือกตั้งกลางสัปดาห์ ทำให้ประชาชนหลายล้านคนไม่ออกไปใช้สิทธิ ชัยชนะของแนวร่วมฝ่ายค้านนำไปสู่การปิดฉากอำนาจของกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติที่ปกครองมาเลเซียมายาวนานกว่า 60 ปี นับตั้งแต่ที่มาเลเซียประกาศเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2500 แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคะแนนนิยมของแนวร่วมแห่งชาติได้ถดถอยลง และนายนาจิบ ราซัค ผู้นำรัฐบาล เผชิญเรื่องอื้อฉาว ทั้งการทุจริตคอร์รัปชัน และการใช้อำนาจในทางที่ผิด โดยเฉพาะเรื่องอื้อฉาวกองทุนรัฐบาล 1MDB ขณะที่แนวร่วมฝ่ายค้านกลับได้รับความนิยมมากขึ้น ดร.มหาธีร์ กล่าวต่อผู้สนับสนุนหลังประกาศชัยชนะว่า ไม่ต้องการแก้แค้น แต่ต้องการฟื้นฟูหลักนิติธรรมให้กับประเทศ พร้อมทั้งเปิดเผยว่าการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจมีขึ้นในวันนี้ (10 พ.ค.) ชัยชนะของแนวร่วมฝ่ายค้าน ไม่เพียงพลิกประวัติศาสตร์การเมืองของมาเลเซีย แต่ยังเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวนายมหาเธร์เอง ที่จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุมากที่สุดในโลก