สถานการณ์ต่างประเทศ

นางคาเรน เพียร์ซ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำสหประชาชาติ เปิดเผยหลังลงพื้นที่เมืองซิตตเว เมืองเอกของรัฐยะไข่ เมียนมา พร้อมคณะนักการทูตระดับสูง สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) อีก 14 ประเทศ วานนี้ว่า กระบวนการตรวจสอบของเมียนมา ต่อสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐยะไข่ ต้องเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ พร้อมเสนอ 2 ทางเลือก คือ โอนอำนาจการสอบสวนทั้งหมดให้แก่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ในกรุงเฮก หรือรัฐบาลเมียนมาดำเนินการเอง และยูเอ็นเอสซีอาจเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบ เพื่อความน่าเชื่อถือ แม้รัฐบาลเมียนมา ยังสงวนท่าทีข้อเสนอแนะดังกล่าว แต่ระหว่างการพบหารือกับคณะนักการทูตของยูเอ็นเอสซี เมื่อวันจันทร์ นางออง ซาน ซูจี มนตรีแห่งรัฐ และรมว.กระทรวงการต่างประเทศเมียนมา ระบุว่า ปัจจัยสำคัญของเรื่องนี้ คือ หลักฐานที่น่าเชื่อถือ ด้าน พล.อ. มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทุกนายและทุกระดับของกองทัพ ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และกองทัพเมียนมามีมาตรการขั้นเด็ดขาด เพื่อจัดการผู้ที่ละเมิดกฎระเบียบเหล่านั้น ทั้งนี้ คณะนักการทูตระดับสูงของยูเอ็นเอสซี เข้าพบพล.อ. มิน อ่อง หล่าย ในกรุงเนปิดอว์ เมื่อวันจันทร์ด้วย ขณะที่ นายมานซูร์ เอย์ยัด อัล-โอไทบี เอกอัครราชทูตคูเวตประจำยูเอ็น ให้ความเห็นว่าบังกลาเทศและเมียนมา ควรเพิ่มความร่วมมือในกระบวนการส่งกลับผู้ลี้ภัย ที่ตกลงกันตั้งแต่เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เพราะขณะนี้มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาส่งเอกสารแจ้งความจำนงขอเดินทางกลับเมียนมาเพียง 8,000 คนเท่านั้น จากทั้งหมดราว 700,000 คน ที่ลี้ภัยตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และเอกสารที่ส่งมานั้นส่วนใหญ่แทบไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้ การดำเนินการของยูเอ็นเอสซีต่อสถานการณ์ในประเทศใดก็ตาม จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 9 เสียง จากสมาชิกทั้งหมด 15 เสียง และต้องไม่มีการวีโต้จากสมาชิกถาวร ซึ่งจีนและรัสเซียที่เป็นพันธมิตรกับเมียนมา เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรี