สถานการณ์ต่างประเทศ

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความเมื่อวาน ว่า เขาได้รับแจ้งทางข้อความจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ว่าการพบหารือกับนายคิม จอง-อึน "เป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง" และ ผู้นำเกาหลีเหนือ"เฝ้ารอ" ที่จะได้พบกับประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ยืนยัน ว่ารัฐบาลสหรัฐจะยังคงดำเนินมาตรการกดดันขั้นสูงสุดต่อเกาหลีเหนือต่อไป โดยผู้นำ สหรัฐใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจฝ่ายเดียวต่อรัฐบาลเกาหลีเหนือมาแล้วหลาย ระลอก ด้วยหลักการว่า การลดช่องทางในการค้าขายระหว่างเกาหลีเหนือกับโลกภายนอก จะเป็นการกดดันให้อีกฝ่ายยอมยุติโครงการนิวเคลียร์ ด้านน.ส. ฮีทเธอร์ เนาเอิร์ต โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวถึงการเยือน กรุงปักกิ่งของผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ว่าเป็นก้าวย่างครั้งสำคัญ ซึ่งพิสูจน์ว่ามาตรการ กดดันขั้นสูงสุดของรัฐบาลสหรัฐนั้น "ได้ผล" และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐเฝ้ารอ การได้พบหารือกับนายคิม จอง-อึน เช่นกัน แม้ยังไม่มีฝ่ายใดเปิดเผยแนวทางว่า เงื่อนไขใด ที่จะสามารถโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือยอมยุติโครงการนิวเคลียร์ที่พัฒนามานานหลายสิบปี ได้เป็นการถาวร และกำหนดการที่แน่นอนในการพบหารือกัน ของทั้งสองฝ่ายจะเกิดขึ้นเมื่อใด ขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้ยังยืนยันได้เพียงว่า"ภายในสิ้นเดือนพ.ค.นี้" หรือราว 1 เดือน หลังการพบหารือระหว่างผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือกับประธานาธิบดีมุน แจ-อิน ผู้นำเกาหลีใต้ การเยือนกรุงปักกิ่งของนายคิม จอง-อึน พร้อมภริยา คือ นางรี ซอล-จู นั้น ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ยอมรับว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าผู้นำเกาหลีเหนือจะเดินทาง ออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 ปี ขณะที่ผู้สันทัดกรณีหลายคนวิเคราะห์ สถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการพบหารือกับผู้นำเกาหลีใต้และสหรัฐ เป็นการส่งสัญญาณ จากทั้งจีนและเกาหลีเหนือ ถึงทั้งสองประเทศว่าใครเป็นฝ่าย "ถือแต้มต่อ"