สถานการณ์ในประเทศ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นกรณี คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอปรับแก้กฎหมายดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วันว่า ที่คนของรัฐบาลระบุว่า เรื่องนี้เป็นดุลยพินิจของกรรมาธิการ สนช. รัฐบาลและ คสช. ไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาประเด็นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. เป็นกฎหมายหนึ่งใน 4 ฉบับของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่มีการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญชัดเจนว่า เมื่อกฎหมายทั้ง 4 ฉบับนี้ เสร็จเรียบร้อยมีผลบังคับใช้ ก็จะเข้าสู่การเลือกตั้ง หากผู้มีอำนาจต้องการขยายเวลาการเลือกตั้งออกไป ก็ต้องใช้ช่องทางของการออกกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ให้ต่อท่ออำนาจออกไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะจัดการทุกอย่างตามแผนให้เข้าที่เข้าทาง เพราะนอกจากจะดำเนินการพรรคใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ การอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในพื้นที่ด้วยหลากหลายโครงการประชานิยมในรูปแบบประชารัฐ ยังออกดอกออกผลไม่เต็มที่ พอที่จะสร้างความศรัทธาให้เพิ่มขึ้นได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่ผู้มีอำนาจจะส่งสัญญาณไปยัง สนช. ให้ขยายเวลาเลือกตั้งออกไป เพื่อจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตามเป้าหมาย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ยังกล่าวกรณี โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ระบุว่า ที่ขยายเวลามีผลบังคับใช้ตามกฎหมายออกไปอีก 90 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งของ คสช. ที่ 53/2560 ที่กำหนดกระบวนการทางธุรการของพรรคการเมืองใหม่ ที่จะเริ่มเดือนมีนาคมนี้ รวมทั้งการรีเซ็ตสมาชิกนั้น เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะหากผู้มีอำนาจไม่เข้ามายุ่ง ด้วยการใช้ มาตรา 44 ออกคำสั่งที่ขัดรัฐธรรมนูญ เอื้อประโยชน์ให้พรรคที่จะจัดตั้งใหม่ และบอนไซพรรคที่มีอยู่แล้ว โดยปล่อยให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามปกติ หลังจาก พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง มีผลบังคับใช้เมื่อหลายเดือนก่อน คงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ช่องทางการขยายเวลาเลือกตั้งออกไป ผ่านการทำกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. จึงขอฝากไปยังผู้มีอำนาจว่า การดำเนินการทางการเมือง เพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ในลักษณะเอาสีข้างเข้าถู นอกจากสีข้างจะถลอกแล้ว ระวังจะถลอกไปทั้งตัว ควรใช้เวลาแก้ไขเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า