สถานการณ์ในประเทศ

กรณีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดาถึง 95% และมีผู้แทนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า เข้ายื่นหนังสือถึง ประธานกรรมาธิการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขอให้ทบทวนการแบนบุหรี่ไฟฟ้า ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ให้ความเห็นว่า รายงานที่อ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา 95% เป็นรายงานจาก Nutt et al (นู เอ อาล) เป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 12 คน ในจำนวนนี้ 6 คนไม่มีประวัติการทำงานเกี่ยวกับการควบคุมยาสูบมาก่อน และ 2 คนมีความสัมพันธ์กับบริษัทบุหรี่ไฟฟ้า โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน และหน่วยงานศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป รวมทั้งองค์การอนามัยโลก ไม่ยอมรับ ปัจจุบัน มีรายงานผลกระทบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกหลายรายงานว่า ส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยมีความเสี่ยงการเกิดโรคปอด โรคหัวใจ และหลอดเลือด ด้าน นพ.วันชาติ ศุภจัตุรัส กรรมการสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งห้ามนำเข้า จำหน่าย และสูบ เป็นข้อกฎหมายที่เหมาะสมกับสถานการณ์ บริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศปกปิดข้อมูลสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะประชาสัมพันธ์ว่า ไม่มีสารก่อมะเร็ง ไม่สร้างมลพิษต่อคนรอบด้าน สามารถใช้สูบเพื่อเลิกบุหรี่ธรรมดาได้ ซึ่งคลาดเคลื่อน ทั้งที่ส่วนประกอบหลักของน้ำยา มีส่วนประกอบของนิโคติน ที่เป็นสารสกัดจากใบยาสูบ ในรูปสารเคมีผสมสารระเหยที่ให้กลิ่นจากใบไม้และดอกไม้ ส่วนใหญ่มีนิโคตินสกัดที่ปริมาณเข้มข้นกว่าบุหรี่ธรรมดาหลายเท่า จะมีผลให้เส้นเลือดเกิดการอักเสบ เส้นเลือดขรุขระ มีการเกาะตัวของเลือดและเกล็ดเลือด จนเส้นเลือดอุดตันได้ทั่วร่างกาย ถ้าอุดตันที่เส้นเลือดสมองจะเป็นอัมพาต ถ้าอุดตันที่เส้นเลือดหัวใจจะเป็นโรคหัวใจวายจากการขาดเลือด และบางคนอาจติดทั้งบุหรี่ธรรมดาและบุหรี่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้าราคาสูง สามารถทำกำไรให้ผู้ผลิตได้มาก กำลังสร้างความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน แต่เป็นอันตรายที่จะบั่นทอนคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาว อีกทั้งทำให้เกิดโรคต่างๆ ทั้งโรคทางเดินหายใจ หอบ หืด โรคหัวใจ สมองอัมพาต โรคปลายแขน-ขาขาดเลือด ซึ่งล้วนเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องใช้งบประมาณและเวลาในการรักษามาก