สถานการณ์ในประเทศ

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการร่วมประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน ว่า เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝนตกหนัก ส่งผลให้น้ำไหลเข้าเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น ประกอบกับ 2-3 วันที่ผ่านมามีปริมาณฝนตกท้ายเขื่อนเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าสู่ลำน้ำมากขึ้น ปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ.นครสรรค์ อยู่ที่ 2,468 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนลุ่มน้ำยมมีฝนตกมากที่ จ.พิจิตร กรมชลประทานได้หารือกับ กฟผ.ใกล้ชิด เมื่อเห็นแนวโน้มปริมาณไหลเข้าสู่ลำน้ำเพิ่มขึ้น จะปิดการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลและสิริกิตติ์ เพื่อไม่ให้น้ำตอนบนไม่ไหลมากระทบ รวมถึงตัดยอดน้ำเข้าสู่พื้นที่แก้มลิง เช่น พื้นที่บางระกำ ซึ่งกรมชลประทานวางแผนล่วงหน้า และจะระบายน้ำโดยให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด ด้านนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน ระบุว่า กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ช่วงแรก วันที่ 9-10 ต.ค.นี้ ที่ยังมีหย่อมความกดอากาศต่ำอยู่ จะส่งผลกระทบต่อภาคอีสานตอนบน ที่ จ.สกลนคร นครพนม ยโสธร และภาคเหนือตอนบน แต่ภาคเหนือไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะยังมีเขื่อนภูมิพล ที่ปริมาณน้ำในเขื่อนมี 60% ของความจุอ่าง และเขื่อนสิริกิตติ์ 80 % แต่ภาคอีสานลุ่มน้ำชี ต้องเร่งแผนการพร่องน้ำเพิ่มเติม เช่น การระบายน้ำจากเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งขณะนี้ปริมาณเต็มความจุ 100% แล้ว จำเป็นจะต้องระบายน้ำเพิ่ม ซึ่งอาจส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการให้ประสานแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ถึงข้อมูลปริมาณน้ำไหลผ่านและระดับน้ำที่ สำหรับช่วง 15- 17 ต.ค. กรมอุตุนิยมวิทยาติดตามการก่อตัวของพายุ รมว.เกษตรฯ จึงสั่งการให้ประชุมติดตามสถานการณ์ทุกวัน และทุก ๆ 6 ชั่วโมงเพื่อประเมินสถานการณ์ใกล้ชิด โดยเฉพาะการเร่งสูบน้ำออกทะเลบริเวณชายขอบอ่าวไทย ช่วงที่น้ำทะเลยังไม่หนุนสูง และในช่วง 1 สัปดาห์นี้ จะปรับแผนระบายน้ำเพิ่ม ทั้งพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมปัจจุบัน และแผนรองรับปริมาณน้ำที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ในพื้นที่ภาคกลางและอีสาน คือ เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ โดยดำเนินการอย่างรอบคอบ และให้กระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำน้อยที่สุด