สถานการณ์ในประเทศ

กรมชลประทาน ออกหนังสือด่วนที่สุด เรื่องสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา หลังจากการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน ประเมินปริมาณน้ำที่เกิดจากการคาดการณ์ฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) จะมีปริมาณน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ อำเภอเมืองนครสวรรค์ ไหลรวมกับน้ำในแม่น้ำสะแกกรัง ลงมายังเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราสูงสุด ประมาณ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ กรมชลประทาน จะใช้เขื่อนเจ้าพระยาและระบบชลประทานแบ่งน้ำเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยควบคุมให้ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่เนื่องจากปัจจุบัน ามีฝนตกกระจายในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง มากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลมายังเขื่อนเจ้าพระยาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม คาดว่าจะมีปริมาณ 2,500 – 2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในการนี้ ได้ใช้พื้นที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยาชะลอน้ำไว้ รวมทั้งตัดยอดน้ำเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำทั้งสองฝั่ง แต่เนื่องจากพื้นที่ชลประทาน ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง มีปริมาณฝนตกเต็มพื้นที่เช่นกัน สามารถแบ่งรับน้ำเข้าได้ในอัตราประมาณ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จากเดิม 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะค่อย ๆ ทยอยเพิ่มการระบายตามปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นหน้าเขื่อนเจ้าพระยา เป็น 1,800-2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในวันนี้ (7 ตุลาคม) และคงการระบายในอัตรา 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์ นายสุชาติ เจริญศรี ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 ระบุว่า ถ้าไม่มีปริมาณฝนตกเพิ่มเติม จะเริ่มลดปริมาณการระบายตามลำดับ โดยปริมาณน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ระดับน้ำตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน ในบริเวณพื้นที่-ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ คลองโผงเผง คลองบางบาล อำเภอบางบาล อำเภอเสนา แม่น้ำน้อย อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประมาณ 50 เซนติเมตร - 1 เมตร เพื่อเร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา กรมชลประทานได้ควบคุมการปิด-เปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ จังหวัดสมุทรปราการ ตามจังหวะการขึ้นลงของน้ำทะเล เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น