สถานการณ์ในประเทศ

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ยังมีฝนตกหนักต่อเนื่อง 2-3 วัน โดยจะมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เข้ามาปะทะกันแนวภาคเหนือตอนล่าง จ.กำแพงเพชร พิจิตร จ.นครราชสีมา นครราชสีมา มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ทำให้มีปริมาณฝนตกมากว่า 100 มิลลิเมตร เช่น บริเวณคลองขลุง จ.กำแพงเพชร ได้แจ้งประสานผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานในพื้นที่ เฝ้าสถานการณ์เกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งตามคาดการณ์อีก 1 สัปดาห์ ปริมาณน้ำเหนือจาก แม่น้ำปิง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน จะไหลเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ให้ทุกจังหวัดลุ่มเจ้าพระยาเฝ้าระวัง ตั้งแต่ จ.นครสวรรค์ ลงมาถึงกรุงเทพ มหานคร คาดว่าระดับสูงสุด ที่ จ.นครสวรรค์ 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากตอนนี้อยู่ที่ 1,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน ยืนยันว่า น้ำเหนือจะไม่ล้นแม่เจ้าพระยา เข้ากระทบพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะนี้ได้บริหารน้ำออกก่อนเข้าปริมณฑล เช่น ผันน้ำเข้าทุ่งแก้มลิง ระบายน้ำออกอ่าวไทย แนวตะวันออกของกรุงเทพ ใช้ระบบชลประทานลงแนวคลองชายทะเล จ.สมุทรปราการ และระบายผ่านแม่น้ำท่าจีน ทั้งนี้ จะลงพื้นที่เขื่อนเจ้าพระยา ในวันจันทร์ที่ 9 ต.ค.นี้ เพื่อดูสถานการณ์ปริมาณน้ำหลากมากขึ้น มาสู่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง โดยจะควบคุมการระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ไม่ให้เกิน 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ถ้าระบายเพิ่ม จะท่วมพื้นที่เดิม 14 จุด เช่น พื้นที่นอกคัน จ.พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี จากที่ระดับระบายสูงสุดไม่เกิน 2,800 ลูกบาศก์เมตร โดยใช้การบริหารน้ำเข้าคลองซ้าย-ขวาสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ผันเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำแก้มลิง 12 ทุ่ง มีพื้นที่หลังเก็บเกี่ยว 1.15 ล้านไร่ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี นำน้ำเข้าประมาณ 800 ถึง 900 ลูกบาศก์เมตร เพื่อมีช่องว่างไว้รับน้ำฝนได้อีก เนื่องจากยังไม่สิ้นสุดฤดูฝน นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับพื้นที่ภาคใต้ จะเรียกประชุมทุกหน่วยงานวันที่ 14 ต.ค. เพื่อเตรียมมาตรการรองรับ แนวร่องฝนที่จะเลื่อนลงประมาณปลายเดือนนี้ โดยย้ายเครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ จากภาคอีสาน ภาคเหนือ ไปไว้ภาคใต้