สถานการณ์ต่างประเทศ

การกล่าวสุนทรพจน์ที่ดุเดือด ต่อที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ เป็นเวลา 42 นาที ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ก่อให้เกิดกระแสวิพากวิจารณ์อย่างหนักจากผู้นำโลกที่ร่วมประชุม ด้วยเนื้อหาตั้งแต่การย้ำอุดมการณ์ “อเมริกาต้องมาก่อน” เพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของสหรัฐ พร้อมทั้งประกาศทำลายล้างเกาหลีเหนือ หากถึงคราวคับขันที่อเมริกาต้องป้องกันตัวเอง โดยระบุว่าเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของ “มนุษย์จรวด” ซึ่งหมายถึง นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ รวมถึงการประณามจีนที่ยังคงค้าขายกับเกาหลีเหนือ การวิจารณ์รัฐบาลเวเนซุเอลา ว่าเป็นเผด็จการเหมือนฮิตเลอร์ การวิจารณ์ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านว่า สร้างความอับอายขายหน้าให้แก่สหรัฐ การประณามประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ว่าเป็น “อาชญากร” อีกทั้งยังยืนยันจะยังไม่ยกเลิกมาตรการปิดล้อมการค้า จนกว่าอีกฝ่ายจะปรับปรุงตัว นายจาวัด ชารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ระบุว่า เป็นสุนทรพจน์ที่เปี่ยมไปด้วยความชังและความไม่รู้ ที่มาจากยุคกลาง ขณะที่เกาหลีเหนือยังไม่ได้ตอบโต้คำข่มขู่ทำลายล้างของสหรัฐฯ แต่มีรายงาน ผู้แทนเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ เดินออกจากออกจากห้องประชุม ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศสวีเดน มาร์กอท วอลล์สตรอม ที่กอดอกแน่นเมื่อฟังสุนทรพจน์ กล่าวว่า "นี่เป็นสุนทรพจน์ที่ผิดที่ ผิดทาง ผิดเวลา" ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศเวเนซุเอลา นายฮอร์เก้ อาร์เรียซา กล่าวว่า "ทรัมป์ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีของโลก เขาบริหารรัฐบาลตัวเองยังไม่ได้เลย" มีเพียงนายเบนจามิน เนธันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ที่สนับสนุนทรัมป์ โดยชี้ว่า สุนทรพจน์ของผู้นำสหรัฐ ปลุกจิตวิญญาณความฮึกเหิมและความกล้าหาญ