สถานการณ์ในประเทศ

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ. เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. – 14 ส.ค. ทำให้เกิดน้ำไหลหลากใน 44 จังหวัด รวม 301 อำเภอ 1,661 ตำบล 13,312 หมู่บ้าน 43 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 583,448 ครัวเรือน 1 ล้าน 850,403 คน ผู้เสียชีวิต 32 ราย บ้านเรือนเสียหาย 2,574 หลัง แยกเป็น เสียหายบางส่วน 2,559 หลัง เสียหายทั้งหลัง 15 หลัง ถนน 2,390 สาย บ่อปลา 21,732 บ่อ ปศุสัตว์ 795,781 ตัว พื้นที่การเกษตร 3 ล้าน 887,604 ไร่ // ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 36 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์ 8 จังหวัด 34 อำเภอ 203 ตำบล 1,253 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 44,261 ครัวเรือน 137,726 คน จุดอพยพ 33 จุด 922 ครัวเรือน 3,326 คน แยกเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ได้แก่ สกลนคร ยังคงมีอุทกภัย 3 อำเภอ คือ อ.เมืองสกลนคร กุสุมาลย์ และโคกศรีสุพรรณ , กาฬสินธุ์ ยังมีอุทกภัยใน 5 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองกาฬสินธุ์ ยางตลาด ฆ้องชัย กมลาไสย ร่องคำ , นครพนม ยังมีอุทกภัย 2 อำเภอ คือ อ.นาแก และนาหว้า , ร้อยเอ็ด ยังเหลืออุทกภัยใน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เสลภูมิ เชียงขวัญ จังหาร โพธิ์ชัย และ อ.ทุ่งเขาหลวง , ยโสธร ยังมีอุทกภัย 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองยโสธร คำเขื่อนแก้ว มหาชนะชัย และค้อวัง , อุบลราชธานี ยังมีน้ำท่วม 8 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองอุบลราชธานี วารินชำราบ ม่วงสามสิบ ดอนมดแดง ตระการพืชผล เดชอุดม เขื่องใน และ อ.สว่างวีระวงศ์ , หนองคาย อ.เฝ้าไร่ ขณะที่ภาคกลาง 1 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา น้ำท่วม 6 อำเภอ ได้แก่ อ.บางบาล เสนา บางปะอิน ผักไห่ พระนครศรีอยุธยา และบางไทร อธิบดี ปภ. กล่าวด้วยว่า ปภ.ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาอุทกภัยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ส่วนจังหวัดที่ยังมีสถานการณ์อุทกภัยให้ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย ควบคู่กับการเร่งระบายน้ำออก