สถานการณ์ต่างประเทศ

ภายใต้ประกาศของกระทรวงความมั่นคงภายในของสหรัฐ ที่เริ่มมีผลบังคับเมื่อวันอังคาร กำหนดให้สายการบินในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ห้ามผู้โดยสารที่บินจาก 8 ประเทศ นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนขึ้นเครื่องบิน เช่น แท็บเล็ต แล็ปท็อป เครื่องเล่นดีวีดี และอื่น ๆ แต่ต้องโหลดไว้ใต้ท้องเครื่องบินแทน . มาตรการนี้จะกระทบกับเที่ยวบินวันละกว่า 50 เที่ยวจาก 10 สนามบินในชาติมุสลิม ได้แก่ สนามบินในกรุงโคโรของอียิปต์, ดูไบและอาบูดาบีในสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์, อิสตันบุลในตุรกี, โดฮาร์ในกาตาร์, อัมมานในจอร์แดน, คูเวตซิตี้ในคูเวต, คาซาบลังกา ในโมร็อกโก, เจดดาและริยาดห์ในซาอุดิอาระเบีย . สายการบิน 9 แห่ง จาก 8 ประเทศ ได้รับแจ้งมาตรการใหม่ เมื่อเวลา 3.00 น.ตามเวลา ท้องถิ่น และต้องปฏิบัติตามภายใน 96 ชม. โดยสายการบินที่ได้รับผลกระทบ คือ อียิปต์แอร์, เอมิเรสต์ แอร์ไลน์, เอทิฮัด แอร์เวย์ส, คูเวต แอร์เวย์ส, กาตาร์ แอร์เวย์ส, รอยัล แอร์ มาร็อก, รอยัล จอร์แดเนียน แอร์ไลน์ส, ซาอุดิอาระเบียน แอร์ไลน์ส และ เตอร์กิช แอร์ไลน์ส . ด้านอังกฤษประกาศใช้มาตรการตามสหรัฐแล้ว โดยจะกระทบเที่ยวบินจาก 6 ประเทศ ซึ่งสองประเทศไม่ได้อยู่ในรายชื่อของสหรัฐ คือ ตูนิเซีย และเลบานอน ส่งผลกระทบต่อ 6 สายการบินของอังกฤษ และ 8 สายการบินต่างขาติ ขณะที่แคนาดาและฝรั่งเศสกำลัง พิจารณาว่าจะใช้มาตรการนี้ด้วยหรือไม่ แต่เยอรมนีจะไม่เปลี่ยนนโยบายตาม ส่วนตุรกี ซึ่งได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้บอกว่า สหรัฐฯ กำลังทำผิดพลาดและควรพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ . แม้สหรัฐไม่ได้ระบุว่ามาตรการนี้จะบังคับใช้นานแค่ไหน แต่สายการบินเอมิเรสต์ ระบุว่า ได้รับแจ้งว่าจะบังคับใช้อย่างน้อยถึง 14 ต.ค. . เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า การออกมาตรการใหม่นี้เป็นความพยายามรับมือกับความเสี่ยง เมื่อได้รับข่าวกรองว่า กลุ่มอัลไกด้าในคาบสมุทรอาระเบียกำลังวางแผนโจมตีเครื่องบิน ด้วยการซุกซ่อนระเบิดในแบตเตอรี และช่องใส่แบตเตอรีในแล็ปท็อป และอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ