
รัฐบาลอิสราเอล อนุมัติข้อตกลงที่กำหนดให้ฮามาสปล่อยตัวประกันที่เหลือในฉนวนกาซา
10 ตุลาคม 2568 09:10 น.
ร่องมรสุมพาดผ่านตอนล่าง ฉุดฝนถล่มภาคกลาง–ตะวันออก–ใต้ เตือนระวังฝนหนักบางพื้นที่ 10 ต.ค. 68 09:10 น.
10 ตุลาคม 2568 09:10 น.
10 ตุลาคม 2568 09:10 น.
6 ตุลาคม 2568 14:10 น.
9 ตุลาคม 2568 11:10 น.
ปี 2025 โลกสามารถผลิต “พลังงานแสงอาทิตย์” และ “พลังงานลม” ได้มากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พลังงานหมุนเวียนรวมกันผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าถ่านหิน ตามผลการวิเคราะห์ใหม่
ตามรายงานของ Ember สถาบันวิจัยด้านพลังงาน พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 31% ขณะที่การผลิตพลังงานลมเติบโต 7.7% ทำให้การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมรวมกันเติบโตมากกว่า 400 เทราวัตต์ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าโลกสามารถลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานที่ก่อมลพิษได้ แม้ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม ด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่องในพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานชีวมวล และพลังงานความร้อนใต้พิภพ
“นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถรักษาระดับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกไว้ได้” มัลกอร์ซาตา วิอาโทรส-โมตีกา นักวิเคราะห์ไฟฟ้าอาวุโสของ Ember และหัวหน้าทีมวิจัยกล่าว
ในขณะเดียวกัน ปริมาณการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยรวมลดลงเล็กน้อย น้อยกว่า 1%
“การลดลงโดยรวมของเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจเล็กน้อย แต่มีความสำคัญ นี่คือจุดเปลี่ยนที่เราเห็นการปล่อยมลพิษเริ่มคงที่” เวียโทรส-โมตีกา กล่าว
Ember วิเคราะห์ข้อมูลรายเดือนจาก 88 ประเทศ ซึ่งเป็นตัวแทนของความต้องการไฟฟ้าส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ รถยนต์ไฟฟ้าและศูนย์ข้อมูลที่มีมากขึ้น จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา และอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ผู้คนต้องใช้เครื่องปรับอากาศเพื่อคลายร้อน
เดิมทีพลังงานส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน ทำให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้วที่รุนแรง กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนทั่วโลก สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ
รายงานระบุว่า แม้ว่าจีนจะยังคงเพิ่มจำนวนโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่จีนก็ยังคงนำหน้าในด้านการเติบโตของพลังงานสะอาด ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025 จีนเพิ่มพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของโลกรวมกัน ส่งผลให้การเติบโตของการผลิตพลังงานหมุนเวียนในจีนแซงหน้าความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และช่วยลดการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลลง 2%
ขณะที่ภาคพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในอินเดียเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสูงกว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้น การผลิตพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลของอินเดียก็ลดลงเช่นกัน
“นักวิเคราะห์มักกล่าวว่าพลังงานหมุนเวียนไม่ได้นำไปสู่การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างแท้จริง” ไมเคิล เจอร์ราร์ด ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซาบิน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในรายงานฉบับนี้กล่าว “รายงานฉบับนี้เน้นย้ำถึงก้าวสำคัญในทิศทางตรงกันข้าม”
แต่สำหรับในสหรัฐ ความต้องการพลังงานกลับมีมากกว่ากำลังการผลิตพลังงานสะอาด เช่นเดียวกับในสหภาพยุโรป ที่การผลิตพลังงานลมและพลังงานน้ำเริ่มซบเซา จนส่งผลให้การผลิตถ่านหินและก๊าซเพิ่มขึ้น รายงานระบุว่าในทั้งสองตลาด มีการผลิตและการปล่อยมลพิษจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น
ตลาดพลังงานสะอาดของสหรัฐกำลังเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลกลางจากพลังงานหมุนเวียนไปสู่การส่งเสริมการผลิตถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
รัฐบาลได้ยุติการให้ทุนสนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดในยุคของไบเดน ยกเลิกนโยบายที่สนับสนุนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ และระงับการพัฒนาพลังงานลม ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ยกเลิกอนุมัติการผ่อนปรนกฎระเบียบสองปีให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ก่อมลพิษ และทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์ให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินเหล่านี้
ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์โจมตีพลังงานหมุนเวียนและตั้งคำถามถึงความถูกต้องของแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความพยายามของทรัมป์ในการสกัดกั้นพลังงานสะอาดจะส่งผลกระทบในระยะยาว
“รัฐบาลกลางกำลังสนับสนุนปัญญาประดิษฐ์อย่างมาก ซึ่งจะเพิ่มความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างมหาศาล และพวกเขาก็กำลังปิดแหล่งพลังงานใหม่ที่มีราคาถูกที่สุดอย่างพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะนำไปสู่ช่องว่างระหว่างอุปสงค์และอุปทาน” เจอร์ราร์ดกล่าว
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐอเมริกาลงครึ่งหนึ่งในทศวรรษนี้ เมื่อปีที่แล้ว สำนักงานฯ คาดการณ์ว่าสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนใหม่ 500 กิกะวัตต์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ภายในปี 2030 ซึ่งลดลงเหลือ 250 กิกะวัตต์
ขณะที่การส่งออกเทคโนโลยีสะอาดของจีนพุ่งสูงขึ้น สหรัฐกลับมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมให้โลกซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากขึ้น
ในเดือนสิงหาคม 2025 การส่งออกเทคโนโลยีสะอาดของจีนทำสถิติสูงสุดที่ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 26% และแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น 23% เมื่อรวมกันแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ของจีนมีมูลค่ามากกว่าสองเท่าของมูลค่าการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์
ทั้งนี้ อแมนดา สมิธ นักวิทยาศาสตร์อาวุโสจากองค์กรวิจัย Project Drawdown ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในรายงานฉบับนี้ ยังคงเชื่อมั่นว่าพลังงานหมุนเวียนยังคงมีโอกาสที่จะเข้ามาแทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ แม้ว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นบ้าง
แม้จะมีความแตกต่างในระดับภูมิภาคเหล่านี้ Ember เรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” มัลกอร์ซาตา วิอาโตรส-โมตีกา นักวิเคราะห์อาวุโสของ Ember กล่าวว่า “นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่พลังงานสะอาดกำลังก้าวทันกับการเติบโตของความต้องการ”
ปัจจุบันพลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าใหม่ที่ใหญ่ที่สุดของโลกติดต่อกันสามปีแล้ว โดยสามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นถึง 83%
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ราว 58% อยู่ในประเทศที่มีรายได้น้อย ซึ่งหลายประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้เป็นเพราะต้นทุนค่าไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โดยเฉลี่ยลดลงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน พลังงานแสงอาทิตย์มีราคาต่ำกว่า 20 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงในหลายภูมิภาค จนถูกกว่าถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติเกือบทุกที่ ซึ่งเป็นผลมาจากนวัตกรรม วัสดุใหม่ การผลิตแบบอัตโนมัติ และประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก
ในปัจจุบัน โซลาร์เซลล์พัฒนาไปมาก จนสามารถจับแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น บางแบบสามารถสองด้านใช้ทั้งสองด้าน ทำให้กำลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากพื้นที่เดียวกัน ประชาชนเห็นผลได้ชัดเจนว่าพลังงานแสงอาทิตย์สามารถช่วยประหยัดค่าไฟได้มาก เป็นครั้งแรกที่พลังงานแสงอาทิตย์สามารถแข่งขันได้โดยไม่ต้องได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล
นับตั้งแต่ปี 1975 ราคาพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงถึง 99.9% และปัจจุบันมีราคาถูกมากจนสามารถเปิดตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในประเทศได้ภายในปีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ไฟฟ้าจากโครงข่ายมีราคาแพงและไม่เสถียร ตัวอย่างเช่น ปากีสถานนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์ที่สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 17 กิกะวัตต์ (GW) ในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อนหน้า และเทียบเท่ากับประมาณหนึ่งในสามของกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบัน
เช่นเดียวกับ แอฟริกาที่พลังงานแสงอาทิตย์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยนำเข้าแผงเพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบเป็นรายปีในช่วงปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมิถุนายน แอฟริกาใต้ซึ่งใช้ถ่านหินเป็นหลักเป็นผู้นำ ขณะที่ไนจีเรียแซงหน้าอียิปต์ขึ้นมาอยู่อันดับสอง ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 1.7 กิกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการไฟฟ้าของครัวเรือนราว 1.8 ล้านหลังคาเรือนในยุโรป
ประเทศเล็ก ๆ ในแอฟริกาบางประเทศมีการเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า โดยแอลจีเรียนำเข้าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 33 เท่า แซมเบียเพิ่มขึ้น 8 เท่า และบอตสวานาเพิ่มขึ้น 7 เท่า
ประเทศในเขตพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งรวมถึงเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกาส่วนใหญ่ จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมากสำหรับเครื่องปรับอากาศในเวลากลางวัน ประเทศเหล่านี้สามารถลดต้นทุนพลังงานได้แทบจะทันทีเมื่อนำระบบพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้
นอกจากนี้ ต้นทุนของระบบกักเก็บพลังงานลดลงเกือบ 80% ตั้งแต่ปี 2018 ส่งผลให้บ้านเรือนและอุตสาหกรรมสามารถซื้อมาใช้ได้จริง ปัจจุบันระบบกักเก็บพลังงานได้เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นแหล่งพลังงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ใช่แค่ทางเลือกสำหรับเวลากลางวันเท่านั้น
#AP News, BBC, Earth,.bangkokbiznews