สถานการณ์ต่างประเทศ

กาหลีใต้ ติดเชื้อโควิดพุ่งเกินพัน 5 วันติดต่อกัน ส่วนอินเดีย บรรลุข้อตกลงใช้วัคซีน “สปุตนิก วี”ขณะที่อิสราเอล แจกวัคซีนประชาชนโดยนายกฯเนทันยาฮูจะฉีดคนแรก ด้านกรุงลอนดอน อังกฤษ ล็อกดาวน์ครั้งใหม่ ห้ามพักค้างนอกบ้าน-เดินทางไปต่างประเทศ อนามัยโลกประสานข้อมูลไวรัสกลายพันธุ์

    เมื่อวันที่ 20ธันวาคม สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ว่าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี (เคซีดีซี) รายงานสถิติการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมง ยืนยันผู้ป่วยสะสม 49,665 คน เพิ่มขึ้น 1,097 คน นับเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันที่เกาหลีใต้ พบผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 รายวัน มากกว่า 1,000 คน และเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ ทำลายสถิติ 1,078 คน เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยกลุ่มล่าสุดนั้นเป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ 25 คน ส่วนอีก 1,072 คน ติดเชื้อภายในประเทศ

    ด้านจำนวนผู้หายป่วยในรอบวันเดียวกันอยู่ที่ 388 คน เพิ่มสถิติเป็นอย่างน้อย 34,772 คน ส่วนสถิติผู้เสียชีวิตสะสมมีจำนวนอย่างน้อย 674 คน เพิ่มขึ้น 15 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 1.36%ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 ในเกาหลีใต้ ส่วนใหญ่เป็นการติดต่อเชื้อเป็นกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์ แตกต่างจากการแพร่ระบาด 2 ครั้งแรก ซึ่งพบการติดต่อเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ดี สถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มความตึงเครียดให้กับระบบสาธารณสุข ที่กำลังขาดแคลนทั้งบุคลากรและเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนเตียงผู้ป่วยซึ่งแทบไม่เพียงพอแล้ว

    ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กองทุนการลงทุนโดยตรงแห่งรัสเซีย (อาร์ดีไอเอฟ) เผยแพร่แถลงการณ์ว่าได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับบริษัทเฮเทอโร ไบโอฟาร์มา ของอินเดีย ในการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ในชื่อ ‘สปุตนิก วี’ ที่คิดค้นและพัฒนาโดยสถาบันกามาเลยา ศูนย์วิจัยด้านระบาดวิทยาและจุลชีววิทยาแห่งชาติของรัสเซีย โดยเฮเทอโรค ไบโอฟาร์มาจะผลิตวัคซีนให้ได้ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านโดส ภายในปีหน้า

    ขณะที่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวว่ารัฐบาลอินเดียอาจอนุมัติการให้มีการใช้งานวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของบริษัทบางแห่งเป็นกรณีฉุกเฉิน ภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยถึงขณะนี้มีเพียงวัคซีน 3 รายการเท่านั้นที่รอรับการพิจารณาขึ้นทะเบียน ได้แก่ วัคซีนจากความร่วมมือระหว่างบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐฯ กับบริษัทไบโอเอ็นเทคของเยอรมนี วัคซีนที่พัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทแอสตราเซเนกา กับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดของสหราชอาณาจักร และวัคซีนของบริษัทภารัต ไบโอเทค หนึ่งในผู้ประกอบการด้านชีวเภสัชภัณฑ์ของอินเดีย

    ส่วนที่กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ทางรัฐบาลอิสราเอล เริ่มแจกจ่ายวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้แก่ประชาชน ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยใช้ทั้งวัคซีนของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทครวมทั้งของโมเดอร์นา ซึ่งได้รับการรับรองให้ใช้งานเป็นกรณีฉุกเฉินในสหรัฐฯ แล้วในเดือนธันวาคมนี้ ภายหลังผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอิสราเอล บ่งชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงลังเลและไม่เชื่อมั่นการได้รับวัคซีนครั้งนี้ แม้รัฐบาลยืนยันว่าไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

    อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเบนจามินเนทันยาฮูแห่งอิสราเอล ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นคนแรก โดยมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนในรัฐบาลอิสราเอลทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีนในวันเดียวกันด้วย

    อนึ่ง อิสราเอลนำเข้าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 จำนวน 8 ล้านโดสของบริษัทไฟเซอร์ ของสหรัฐฯ ร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทค ของเยอรมนี และอีก 6 ล้านโดสจากบริษัทโมเดอร์นาของสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการแจกจ่ายให้แก่ชาวอิสราเอลทั้งประเทศ ที่มีประมาณ 3 ล้านคนโดยปัจจุบันอิสราเอลมีผู้ป่วยสะสมจากไวรัสโควิด-19 อย่างน้อย 372,886 คน เพิ่มขึ้น 2,816 คนในรอบวันที่ผ่านมา และเสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 3,074คน เพิ่มขึ้น 17คน

    ขณะเดียวกัน กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน แถลงว่าได้ประกาศให้ทั้ง 32เขตในกรุงลอนดอน รวมถึงซิตี้ออฟลอนดอน พื้นที่ทั้งหมดทางตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกของเกาะอังกฤษ ซึ่งเดิมทีอยู่ภายใต้เทียร์ 3 ให้เข้าสู่เทียร์4 เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน โดยมาตรการทางสังคมภายใต้เทียร์ 4 แทบไม่ต่างจากเทียร์ 3 แต่ที่เพิ่มเติมคือการห้ามไปพักค้างคืนยังสถานที่ซึ่งไม่ใช่บ้านพักตนเอง และห้ามเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนการเดินทางไปโรงเรียน ไปพบแพทย์ ตลอดจนการเดินทางไปทำงาน ยังสามารถเกิดขึ้นได้

    นอกจากนี้พื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้เทียร์ 4 จะไม่ได้รับการผ่อนผันตามแผนการ ‘คริสต์มาสบับเบิล’ ที่รัฐบาลวางแผนไว้ระหว่างวันที่ 23-27 ธันวาคมนี้ สำหรับพื้นที่อื่นจะได้รับการยกเว้นเฉพาะในวันที่ 25 ธันวาคมเท่านั้น แม้คำสั่งเรื่องคริสต์มาสบับเบิลของจอห์นสันมีผลเฉพาะกับสหราชอาณาจักรแต่สก๊อตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือพร้อมแก้ไขมาตรการ โดยยึดแนวทางของสหราชอาณาจักรเป็นหลัก

    ทั้งนี้ ผู้นำสหราชอาณาจักร ระบุว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นผลจากการพบหารือกับผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาด้านสาธารณสุข ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหราชอาณาจักร ขณะนี้ ซึ่งการถ่ายทอดเชื้อเกิดได้เร็วขึ้นอีก 70%ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขสหราชอาณาจักรรายงานสถิติผู้ป่วยสะสมอย่างน้อย 2,004,219 คน เพิ่มขึ้น 27,052คนและเสียชีวิต 67,075คน เพิ่มขึ้น 534คน

    ด้านบริษัทกระจายเสียงอังกฤษ หรือบีบีซี รายงานว่าตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ใช้มาตรการจำกัด ระดับเทียร์ 4 โดยให้อยู่ในหลายพื้นที่ ห้ามประชาชนอยู่ภายในอาคารปิดกับคนนอกครอบครัว ไม่ต่างจากการปิดเมืองหรือล็อกดาวน์ทั้งประเทศเป็นครั้งที่ 2 มีผลกับทุกพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ที่ขณะนี้อยู่ภายใต้มาตรการจำกัดระดับเทียร์ 3 เช่น เคนต์ บักกิ่งแฮมเชอร์ รวมถึงกรุงลอนดอนทั้ง 32 เขตและภูมิภาคอีสต์ออฟอิงแลนด์ ส่วนพื้นที่อื่นในอังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ การผ่อนคลายระเบียบเข้มงวดช่วงคริสต์มาส 5 วันจะลดลงเหลือวันคริสต์มาสวันเดียว ห้ามเดินทางทั่วทั้งประเทศช่วงคริสต์มาส

    นางนิโกลา สเตอร์เจียน นายกรัฐมนตรีของสก๊อตแลนด์กล่าวว่า อยากดำเนินการให้เร็วกว่านี้เพื่อควบคุมไวรัสดังกล่าว แต่การที่ต้องแถลงเรื่องนี้ทำให้อยากจะร้องไห้ ด้านนายมาร์ก แดร็กฟอร์ด นายกรัฐมนตรีของเวลส์ประกาศว่าได้ปิดประเทศตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่วนไอร์แลนด์เหนือไม่เปลี่ยนแปลงมาตรการผ่อนคลายช่วงคริสต์มาสที่อนุญาตให้คนสังสรรค์กันได้ไม่เกิน 3 ครอบครัวระหว่างวันที่ 23-27 ธันวาคมนี้ และจะเริ่มล็อกดาวน์ 6 สัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคมเป็นต้นไป

    ขณะที่ องค์การอนามัยโลก(ดับเบิลยูเอชโอ) ทวีตข้อความว่ายูเคกำลังแบ่งปันข้อมูลที่กำลังดำเนินการอยู่เรื่องไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ โดยองค์การอนามัยโลกจะแจ้งความคืบหน้าให้สมาชิกและสาธารณชนทราบทันทีที่มีข้อมูลเพิ่มเติม ปัจจุบันยูเคมีผู้ป่วยสะสมกว่า 2ล้านคน เสียชีวิตกว่า 67,000คน

    วันเดียวกัน ที่ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของออสเตรเลีย ประกาศมาตรการคุมเข้มครั้งใหม่ ภายใต้ความพยายามที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมีการสั่งล็อกดาวน์บางพื้นที่ ห้ามการรวมตัวกันของผู้คนมากกว่า 10 คน ส่วนการจัดงานต่างๆ ห้ามมีผู้เข้าร่วมเกิน 300 คน มีผลตั้งแต่วันเดียวกันนี้ถึงวันที่ 23 ธันวาคมนี้

    ขณะที่ชาวซิดนีย์ทั้งหมด ถูกสั่งให้อยู่แต่ในบ้านพักภายหลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่หลายคนในพื้นที่นอร์ทเทิร์นบีช ซึ่งถูกสั่งให้ล็อกดาวน์เป็นเวลา 5 วันตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยชาวซิดนีย์ต่างพากันออกจากเมืองก่อนหน้าเทศกาลคริสต์มาสที่กำลังมาถึง และต่างพากันเดินทางออกจากรัฐนิวเซาท์เวลส์ไปยังรัฐข้างเคียงอย่างรัฐวิคตอเรียทำให้รัฐวิคตอเรีย ต้องประกาศปิดพรมแดนตั้งแต่เที่ยงคืนวันเดียวกันนี้เป็นต้นไป โดยมีผลเป็นเวลา 14 วัน

เช่นเดียวกับรัฐเซาท์ออสเตรเลียที่ประกาศให้ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ซิดนีย์นับจากเที่ยงคืนวันเดียวกันนี้ ต้องถูกกักบริเวณเพื่อเฝ้าดูอาการเป็นเวลา 14 วัน แต่ผู้ที่มาจากพื้นที่นอร์ทเทิร์นบีชจะห้ามการเดินทางเข้ามาโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ นครซิดนีย์ ได้ประกาศยกเลิกการจัดแข่งขันเรือยอร์ชโฮบาร์ทเป็นครั้งแรกในรอบ 76 ปีอีกด้วย