สถานการณ์ต่างประเทศ

สำนักข่าว AAP ของออสเตรเลีย ประกาศปิดตัวกลางปีนี้ หลังประสบปัญหาด้านเงินทุน และการแข่งขันกับสื่อออนไลน์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อวงการสื่อในประเทศ

    สำนักข่าวเอพี ออสเตรเลีย หรือ เอเอพี (AAP) ประกาศปิดตัวตั้งแต่สิ้นเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป หลังจากที่ให้บริการมานานกว่า 85 ปี โดย AAP เป็นสำนักข่าวที่ผลิตข่าวให้กับองค์กรสื่อต่างๆในออสเตรเลีย ทั้งข่าวด่วนและรายงานพิเศษ ที่ครอบ คลุมตั้งแต่ข่าวการเมือง เศรษฐกิจ และกีฬา อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่การแข่งขันกับสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนสื่อที่พึ่งพาเนื้อหาข่าวจาก AAP ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ธุรกิจเริ่มสั่นคลอน จนทำให้ผู้ถือหุ้นต่างๆ พากันถอนตัว

     ด้านนายบรูซ เดวิดสัน ซีอีโอของสำนักข่าวเอเอพีกล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยการปิดตัวสำนักข่าวเกิดจากปัญหาหลายอย่าง ตั้งแต่การสนับ สนุนด้านเงินทุนไปจนถึงการแข่งขันกับสื่อออนไลน์ ที่กระทบต่อการผลิตข่าวที่มีคุณภาพและความฉับไว ซึ่งปัจจุบันชาวออสเตรเลียเลือกที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านกูเกิ้ลและเฟซบุ๊กมากกว่าการจ่ายค่าบริการเพื่อรับข้อมูลข่าวสารกับเอเอพี ซึ่งโครง สร้างธุรกิจนี้ ไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในอนาคต

     การปิดตัวของสำนักข่าว AAP ซึ่งก่อตั้งโดยนายคีธ เมอร์ด็อก บิดาของนายรูเพิร์ต เมอร์ด็อกซีอีโอและประธานของบริษัทนิวส์ คอร์ป เป็นการสะท้อนวงการสื่อในออสเตรเลียที่มีการหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทแฟร์แฟ็กซ์ มิเดียยอมให้ช่องไนน์ซื้อกิจการไป ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของบริษัทที่ดำเนิน กิจการมานานถึง 177 ปี

     ขณะเดียวกัน มีรายงานว่ากระทรวงต่างประเทศสหรัฐจำกัดจำนวนผู้สื่อข่าวจากสื่อยักษ์ใหญ่ของจีน ที่ทำงานในอเมริกา ทำให้จำนวนผู้สื่อข่าวที่ได้รับอนุญาตทำงานอย่างถูกกฏหมายในสำนักงานของสื่อยักษ์ใหญ่จีน 4 แห่ง ประจำสหรัฐ จะต้องลดลง โดยสื่อที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว คือ สำนักข่าวซินหัว, ไชน่า โกลบอล เทเลวิชั่น เน็ตเวิร์ก (CGTN ) , ไชน่า เรดิโอ อินเตอร์เนชั่นแนล และไชน่า เดลี ดิสทริบิวชั่น คอร์ป ซึ่งจะมีผลในวันที่ 13 มีนาคม มาตรการของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐมีขึ้น หลังจีนตัดสินใจเนรเทศผู้สื่อข่าว 3 คนของหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล เมื่อเดือนที่แล้ว เนื่องจากสื่อสหรัฐ พาดหัวข่าว เรียกจีนว่า คนป่วยที่แท้จริงของเอเชีย หลังเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่น