SMART NEWS

พายุรุนแรงที่เมืองฮิวส์ตันทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย 17 พ.ค. 67 13:05 น.

กิจกรรม

เอสซีจีแถลงผลประกอบการปี 2560 เร่งปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของตลาด ขยายสู่ธุรกิจบริการเพื่อตอบความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล

views

กรุงเทพฯ : 24 มกราคม 2561 – ผลประกอบการเอสซีจีปี 2560 เป็นที่น่าพอใจผลจากการเร่งปรับตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงขยายสู่ธุรกิจบริการเผยปีนี้ยังมีความเสี่ยงด้านต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน เงินบาทแข็งค่าและการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรง ชูกลยุทธ์ความร่วมมือกับดิจิทัลสตาร์ทอัพเตรียมความพร้อมพัฒนาทักษะพนักงานทันต่อการเปลี่ยนแปลงพร้อมเดินหน้าธุรกิจบริการ โลจิสติกส์ ขณะที่การลงทุนอาเซียนคืบหน้าตามแผน
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของ เอสซีจี ประจำปี 2560 มีรายได้จากการขาย 450,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปีก่อนจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกำไร 55,041 ล้านบาทลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อนจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 113,400 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนสาเหตุหลักจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน มีกำไร 12,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อนสำหรับผลการดำเนินงานของเอสซีจี นอกเหนือจากประเทศไทยในปี 2560ในปี 2560 เอสซีจีมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน เท่ากับ 106,597 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24 จากยอดขายรวม โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่น ๆ 80,084 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17 จากยอดขายรวมสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีมูลค่า 573,412 ล้านบาท โดยร้อยละ 24 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียนผลการดำเนินงานในปี 2560 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ในปี 2560 มีรายได้จากการขาย 206,280 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อน มีกำไรสำหรับปี 42,007 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 มีรายได้จากการขาย 51,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นโดยมีกำไรสำหรับงวด 9,620 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อนและลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2560 มีรายได้จากการขาย 175,255ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปีก่อน จากการขยายตัวของการดำเนินงานในภูมิภาคอาเซียน มีกำไรสำหรับปี 7,230 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15 จากปีก่อนตามสภาพตลาดในประเทศไทยที่ยังคงซบเซาและการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 มีรายได้จากการขาย 43,372 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,231 ล้านบาท ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ในปี 2560 มีรายได้จากการขาย 81,455 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและมีกำไรสำหรับปี 4,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการขายสินทรัพย์ในบริษัทกระดาษสหไทย ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 มีรายได้จากการขาย 21,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนสาเหตุหลักมาจากปริมาณขายและราคาที่เพิ่มขึ้นในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากกำลังการผลิตใหม่ในประเทเวียดนาม มีกำไรสำหรับงวด 1,232 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 97จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษนายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “ผลประกอบการในปี 2560 เป็นที่น่าพอใจแม้ว่าจะมีปัจจัยเรื่องสภาพการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในไทยและในภูมิภาคต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และค่าเงินบาทแข็งค่าที่เข้ามากระทบแต่ด้วยราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นรวมถึงการเร่งปรับตัวให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆและการขยายสู่ธุรกิจบริการและ Solutions อาทิ โลจิสติกส์ที่เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดและทันเวลาทำให้เอสซีจีสามารถรักษามาตรฐานการดำเนินธุรกิจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 ยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังจากต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมีและแพคเกจจิ้งที่เพิ่มขึ้น ราคาต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าตลอดจนสภาพการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรง โดยเฉพาะซีเมนต์เอสซีจีจึงเร่งเตรียมความพร้อมในหลายด้าน อาทิ การขยายธุรกิจบริการและSolutions อย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยี Automation และ Robotics เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ พร้อมกันนี้จะจัดตั้ง Reskill TrainingProgram เพื่อพัฒนาทักษะพนักงานให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ใหม่เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ”ด้านธุรกิจบริการเอสซีจีมีความพร้อมที่จะขยายไปสู่การบริการรถนักเรียนและรถพยาบาลโดยนำเทคโนโลยี GPS มาต่อยอดเป็น Solutions ใหม่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปกครองในด้านการดูแลความปลอดภัยของบุตรหลาน รวมถึงระบบ GPSเพื่อติดตามรถพยาบาลที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการรักษาทางการแพทย์ให้กับผู้ป่วยระหว่างการเดินทาง นอกจากนี้ เอสซีจี เอ็กซ์เพรสยังได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดียิ่งด้วยบริการจัดส่งพัสดุด่วนที่ทันสมัยและเป็นรายเดียวในตลาดในขณะนี้ที่มีนวัตกรรมบริการส่งพัสดุด่วนแบบควบคุมอุณหภูมิ โดยที่ผ่านมาได้ขยายจุดบริการแล้วกว่า 500 สาขาและจะขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศในช่วงกลางปี 2561 อีกทั้ง เอสซีจีได้เข้าไปลงทุนในดิจิทัลสตาร์ทอัพด้านโลจิสติกส์เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการรถขนส่งตามมาตรฐานชั้นนำของเอสซีจีโลจิสติกส์ ที่พร้อมให้บริการกว่า 7,000 คันทั่วอาเซียนผ่านดิจิทัลแพลทฟอร์มที่ช่วยอำนวยความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว โดยปีที่ผ่านมา เอสซีจีใช้งบประมาณการวิจัยและนวัตกรรมรวมกว่า 4,178 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.9ของยอดขายรวม สำหรับยอดขายสินค้า HVA ในปี 2560 คิดเป็น 175,541 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39 ของยอดขายรวมขณะที่ความร่วมมือกับดิจิทัลสตาร์ทอัพมีความคืบหน้าไปมากเช่นกันโดยมีความร่วมมือที่เกิดขึ้นแล้วกว่า 40 โครงการซึ่งล้วนมีศักยภาพที่จะต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้อีกทั้งยังมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสตาร์ทอัพในประเทศสหรัฐอเมริกา อิสราเอล และจีนสำหรับการดำเนินงานของธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในอาเซียนมีความคืบหน้าตามแผน สามารถรองรับความต้องการของตลาดในประเทศต่าง ๆที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเอสซีจีมีโรงงานปูนซีเมนต์ใน 6ประเทศหลัก มีกำลังการผลิตรวมกับในประเทศไทย 33.6 ล้านตันต่อปี
“เอสซีจี ยังได้เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 68.3 ในบริษัท Interpress Printersผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารฟาสต์ฟู้ดส์ชั้นนำในประเทศมาเลเซีย โดยมีมูลค่ากิจการ104.5 ล้านริงกิต หรือประมาณ 836 ล้านบาทซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสินค้าบรรจุภัณฑ์อาหารฟาสต์ฟู้ดส์ให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอาเซียน”
นายรุ่งโรจน์ กล่าวคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 19.00 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 22,800 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 8.50บาท เป็นเงิน 10,200 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2560และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 10.50 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 12,600 ล้านบาททั้งนี้การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับบริษัทตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันพฤหัสบดีที่ 5เมษายน 2561 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพุธที่4 เมษายน 2561) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี

TW-headbar