สถานการณ์ในประเทศ

ศาลอาญารัชดาฯ อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดี พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นฟ้อง นายอนุพงศ์ พันธชยางกูร หรือ อดีตกำนัน ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นอดีตจำเลยในคดีปล้นปืน กองพันทหารพัฒนาที่ 4 เมื่อปี 2547 เป็นจำเลย ฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา คำฟ้องสรุปว่า นายอนุพงศ์ ถูกพนักงานสืบสวนสอบสวนที่มี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เป็นหัวหน้าชุดจับกุม ข้อหาร่วมกันปล้นปืน โดยระหว่างถูกนำตัวขึ้นเครื่องบิน จำเลยอ้างว่า ถูกโจทก์กับพวกรุมซ้อมทรมานทำร้ายร่างกาย เพื่อให้รับสารภาพในคดีปล้นปืน และคดีฆ่า ด.ต.ปัญญาดาราฮีม ทั้งหลังถูกนำตัวกลับจากกองปราบ ไปควบคุมอยู่ที่ สภ.ตันหยง ยังถูกโจทก์พร้อมตำรวจอีกหลายนายซ้อมทรมานเพื่อให้รับสารภาพ ต่อมา นายอนุพงศ์ ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยอื่นอีกรวม 4 คน ฐานร่วมกันฆ่า ด.ต.ดาราฮีม ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด นายอนุพงศ์ จึงเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวหาว่า โจทก์ร่วมกับพวกซ้อมทรมานทำร้ายร่างกาย ดีเอสไอส่งเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ต่อมา ป.ป.ช.ชี้ว่า พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า โจทก์กับพวกรวม 19 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ จึงยื่นฟ้องศาลอาญา ศาลชั้นต้น พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ในวันเวลาเกิดเหตุ โจทก์มีตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ควบคุมตัวจำเลยกับพวก ซึ่งการจับกุมและสอบสวนจะต้องกระทำเป็นความลับ ขณะที่บนเครื่องบินไม่มีบุคคลอื่น ซึ่งเป็นคนกลางที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ได้ ฝ่ายโจทก์มีเพียงโจทก์เบิกความเป็นพยานปากเดียว พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่เพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยแจ้งความเท็จ พิพากษายกฟ้อง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายอนุพงศ์กระทำผิดจริง จึงพิพากษาจำคุก 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา นายอนุพงศ์ยื่นฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงนำตัวนายอนุพงศ์ ไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตามคำพิพากษาศาลฎีกา