สถานการณ์ในประเทศ

พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กล่าวว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ.ร่วมกับ กรมชลประทาน วิเคราะห์และติดตามสถานการณ์น้ำ พบว่า ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนลำปาว จำนวนมาก ทำให้ต้องเพิ่มการระบายน้ำออกจากเขื่อนลำปาว ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. ซึ่งจะส่ง ผลกระทบต่อพื้นที่บริเวณท้ายเขื่อนลำปาวใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.กาฬสินธุ์ ได้แก่ อ.เมืองกาฬสินธุ์ ยางตลาด กมลาไสย ฆ้องชัย และร่องคำ // จ.ร้อยเอ็ด ได้แก่ อำเภอเชียงขวัญ ธวัชบุรี ทุ่งเขาหลวง อาจสามารถ พนมไพร จังหาร และเสลภูมิ // จ.ยโสธร ได้แก่ อำเภอเมืองยโสธร คำเขื่อนแก้ว มหาชนะชัย และค้อวัง และ จ.อุบลราชธานี ได้แก่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี เขื่องใน วารินชำราบ และสว่างวีระวงศ์ จึงสั่งการให้กรม ปภ.ประสาน 4 จังหวัดดังกล่าว เตรียมพร้อมรับระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ด้านนายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดี ปภ. กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ 12 จังหวัด ได้แก่ สกลนคร นครพนม ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ นครราชสีมา กาฬสินธุ์ ยโสธร มุกดาหาร พระนครศรีอยุธยา อำนาจเจริญ อุบลราชธานี และหนองคาย โดยการช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยกรณีบ้านเรือนได้รับความเสียหายทั้งหลัง หรือมากกว่าร้อยละ 70 ขึ้นไป จะให้การช่วยเหลือหลังละไม่เกิน 33,000 บาท ส่วนที่เสียหายบางส่วน รวมทั้งพื้นที่ การเกษตร จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือ ตามระเบียบกระทรวงการคลัง และหลังสถานการณ์คลี่คลายแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่เร่งเข้าไปสำรวจความเสียหาย เพื่อ ให้การช่วยเหลือต่อไป สำหรับแนวทางการช่วยเหลือนั้น จะเน้นเรื่องการดำรงชีพ การดูแลประชาชนในจุดพักพิง พร้อมจัดหาอาหาร น้ำดื่มและถุงยังชีพแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ในเบื้องต้น พร้อมจัดทีมแพทย์ พยาบาล เข้าไปดูแลรักษาสุขภาพ ส่วนประชาชนที่ไม่ได้ อพยพออกนอกพื้นที่ จะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลพร้อมจัดหาอาหาร น้ำดื่มและถุงยังชีพ แจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยด้วย