สถานการณ์ในประเทศ

นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงผลการตรวจสอบโครงการ จัดซื้อเรือดำน้ำ S-26T ระหว่างกองทัพเรือกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำร้องของ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ว่า ไม่พบเหตุผิดปกติ หรือ มีการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ จึงมีมติให้ยุติเรื่องดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำ ซึ่งมีการก่อหนี้ผูกพัน วงเงิน 13,500 ล้านบาท มีการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 ใช้บังคับแล้ว โดยเสนอ ครม.พิจารณาตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2559 จึงเป็นการดำเนินการตามมาตรา 23 วรรค 3 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2502 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จึงถือว่าชอบด้วยวิธีการงบประมาณ ส่วนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 เมษายน 2560 เป็นการรับทราบและเห็นชอบ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ก่อนดำเนินการเท่านั้น อีกทั้งการจัดซื้อยังเป็นไปตามยุทธศาสตร์เสริมสร้างศักยภาพการป้องกันประเทศ ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2537 โดยได้ปรับปรุงโครงการให้สอดคล้องกับสถานการณ์มาโดยลำดับ จึงมิได้เป็นการสร้างภาระแก่ประเทศชาติ หรือประชาชนโดยไม่จำเป็น หรือเกินสมควร นายรักษเกชา กล่าวต่อว่า กรณีที่ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำถือเป็นหนังสือสัญญา ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน หรือไม่นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ไม่มีลักษณะเป็นสัญญา ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 เนื่องจากเป็นข้อตกลงจัดสร้างเรือดำน้ำ เป็นการทำสัญญาซื้อขายเชิงพาณิชย์ ในทำนองเดียวกับการทำสัญญาระหว่างเอกชนกับเอกชน จึงไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน อีกทั้งกรณีนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะดำเนินการได้ เนื่องจากเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาว่า จะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่