หาดใหญ่ เช้านี้วิกฤตหนัก มวลน้ำก้อนใหญ่ทะลักระลอกสอง
24 พฤศจิกายน 2568 09:11 น.
ราคาทองวันนี้ (24 พ.ย. 68) ปรับลง 150 บาท รูปพรรณบาทละ 63,100 บาท 24 พ.ย. 68 09:11 น.
24 พฤศจิกายน 2568 09:11 น.
21 พฤศจิกายน 2568 10:11 น.
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
19 พฤศจิกายน 2568 15:11 น.
ศาลอาญา รัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง พลตรี จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นจำเลยที่ 1-6 ฐานร่วมกัน บุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ จากกรณีวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 จำเลยกับพวก ปราศรัยชักชวน ให้ประชาชนกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ลาออก แล้วปิดล้อม เข้าควบคุมทำเนียบรัฐบาล ห้ามราชการเข้าปฏิบัติหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินได้รับความเสียหาย โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ก่อนยื่นขอประกันตัวสู้คดี ชั้นอุทธรณ์ ซึ่งเมื่อถึงเวลานัด จำเลยทุกคนมาศาล และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้เบิกตัวนายสนธิ มาฟังคำพิพากษา ศาลอุทธร์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ มีรองเลขาธิการ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการ สำนักสถานที่ดูแลรักษาความเรียบร้อย ตำรวจสันติบาล 4 ปาก เบิกความถึงรายละเอียด เหตุการณ์ ที่จำเลยทั้ง 6 คนที่เป็นแกนนำ และผู้ชุมนุมที่เข้าไปในทำเนียบรัฐบาล และ นำรถ 6 ล้อ เข้าไปตั้งเวทีปราศรัย หน้าสนามหญ้าทำเนียบรัฐบาล มีการตัดโซ่ที่คล้อง ประตูสองชั้น รวมทั้ง ผลักดันแผงเหล็ก ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดไว้เพื่อรักษาความปลอดภัย ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อระบบรดน้ำ ,สนามหญ้าที่ตายทั้งหมด และระบบไฟในสนามหญ้า ศาลจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลย เป็นการกระทำฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวต่อเนื่องกันแต่ผิดกฎหมายหลายบท การที่ศาลชั้นต้น พิพากษาฐานบุกรุกนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอ การลงโทษ โดยอ้างเหตุ ว่าจำเลยเป็นผู้มีการศึกษา มีสถานะทางสังคม และ ได้ทำงานสังคม อีกทั้งไม่เคยต้องโทษในคดีอาญามาก่อน กับการชุมนุมนั้นก็เป็นไปเพื่อ ประโยชน์สาธารณะนั้น ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการบุกรุกทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ การที่จำเลยจะใช้เสรีภาพ ก็จะต้องไม่กระทบต่ออำนาจหน้าที่อื่น และเพื่อไม่ให้การกระทำของจำเลยนั้นเป็นเยี่ยงอย่าง แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำ ของพวกจำเลย มิได้เป็นประโยชน์เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงเห็นควรพิพากษาลงโทษ ให้เหมาะสมกับพฤติการณ์จึงพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุก 2 ปี ให้เป็นจำคุก 1 ปี โดยลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลา 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา