สถานการณ์ในประเทศ

ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริการสภาทนายความเป็นวาระพิเศษ เพื่อพิจารณา คุณสมบัติของทนายความ นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ อายุ 59 ปี โดยใช้เวลาประชุม 1 ชม. จากนั้น ว่าที่พันตรีสมบัติ วงศ์กำแหง อุปนายกฝ่ายบริหาร แถลงว่า ที่ประชุมได้อภิปราย กันอย่างกว้างขวาง โดยเมื่อตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิสิษฐ์ ถือว่าขาดคุณสมบัติ ตามมาตรา 35 (7) เพราะต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย คณะกรรมการ จึงมีมติโดยเสียงข้างมาก เห็นชอบให้จำหน่ายชื่อ นายพิสิษฐ์ ออกจากทะเบียนทนายความ โดยให้มีผลหลังจากที่คณะกรรมการได้ลงมติแล้ว จะนำมติแจ้งไปที่นายทะเบียนทนายความ และทำหนังสือแจ้งถึงนายพิสิษฐ์ เมื่อแจ้งหนังสือคำสั่งไปแล้ว ก็ถือว่าหมดสิทธิ์การเป็น ทนายความต่อไป หลังจากนี้ หากแสดงตนเป็นทนายความ ก็จะมีโทษตามพระราชบัญญัติ ทนายความ ส่วนจะกลับมาเป็นทนายความได้อีกหรือไม่ ว่าที่พันตรีสมบัติ กล่าวว่า เมื่อเขามีคุณสมบัติ ครบถ้วน ก็อาจมายื่นคำร้องขอใบอนุญาตได้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นคณะกรรมการ ก็ต้องพิจารณาว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายให้จดทะเบียนเป็นทนายความได้อีก หรือไม่ ส่วนการพิจารณาคดีมรรยาททนายความ ฉ้อโกงลูกความ กรณีถูกกล่าวหาว่าโกงเงิน เยียวยาอุบัติเหตุครอบครัวน้องบีม หรือ ด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่อง ก็จะมีการสอบสวนลงโทษ ที่มีอยู่ 3 ระดับ คือ ภาคทัณฑ์,ห้ามทำการเป็นทนายความ มีกำหนดไม่เกิน 3 ปี,และ ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ ซึ่งเป็นมาตรการลงโทษที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2-3 วันก่อน เพื่อนของนายพิสิษฐ์ ได้ติดต่อขอเข้ามาที่ สภาทนายความ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนวันเวลาใด จะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้ง